วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

The Basement

เมื่อตอนฉันยังเด็ก ฉันมักจะอยู่กับยายของฉัน แม่หย่ากับพ่อฉันตั้งแต่เด็กๆแล้วก็แต่งงานใหม่หลังจาก
นั้นไม่นาน ยายของฉันเปลี่ยนโรงรถเป็นที่สำหรับอาศัยของแม่และสามีใหม่ของแม่ฉันจนกว่าเขาทั้งคู่จะหาบ้านใหม่ได้ ซึ่งห้องนั้นไม่มีที่พอจะให้ฉันอยู่ ฉันจึงต้องมาอยู่ที่บ้านยายฉัน เมื่อแม่และพ่อใหม่ของฉันมีเงินพอทีจะซื้อบ้านหลังใหม่ได้ แต่ว่าฉันอาศัยกับยายมานาน เพื่อนบ้านของฉันที่อยู่แถวบ้านยายก็มีอยู่เหมือนกัน ดังนั้นฉันจึงขอไม่ไปบ้านใหม่กับพ่อแม่ของฉัน ฉันตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนที่เหลืออยู่ที่บ้านของยายฉัน

ฉันย้ายมาบ้านนี้ไม่นานแถมมีเพื่อนบ้านแล้วด้วย แต่ฉันต้องย้ายไปบ้านอื่นอีกครั้งแต่ว่าครั้งนี้น่าฉันจะได้อยู่กับแม่ของฉันซักทีพร้อมกับทำความรู้จักพ่อใหม่ของฉันให้มากขึ้นกว่าเดิม ก่อนหน้านั้นฉันได้วางแผนกับภรรยาว่าจะแต่งงานกันเมื่อตอนที่พวกเราเก็บเงินมากพอที่จะใช้สำหรับงานแต่งงาน มันใช้เวลาไม่นานนักหรอก เราวางแผนไว้ว่ามันจะดีถ้าพวกเรากลับไปอยู่กับพ่อแม่ของตัวเองก่อนแล้วฉันและภรรยาจะได้ช่วยกันเก็บเงินเอาไว้ใช้เผื่อสำหรับค่าเทอมของลูกในอนาคตอีกด้วย

น้องสาวของฉันได้ย้ายไปอยู่หอที่วิทยาลัยดังนั้นฉันจึงอาศัยที่ห้องนอนเก่าของเธอได้ ที่ชั้นใต้ดิน ห้องใต้ดินนั้นค่อนข้างเป็นระเบียบ คุณสามารถเดินลงไปและเปิดทางบันไดจากชั้นบนซึ่งอยู่ด้านขวาของประตูที่จะนำไปสู่ห้องใต้ดิน ทางด้านขวาเป็นประตูที่จะนำไปที่ห้องซักรีดพร้อมห้องน้ำ ทางด้านซ้ายเป็นห้องนั่งเล่นแล้วมีบาร์ขนาดย่อมๆที่พ่อใหม่ของฉันได้สร้างขึ้นมา นับว่าห้องของผมทำเลดีทีเดียว

ฉันนำสัมภาระมาไว้ที่ห้องเมื่อคืนวันศุกร์ ฉันประทับใจมากที่สามารถย้ายเข้ามาอยู่ได้ภายในวันเดียว เมื่อหัวถึงเตียงฉันก็หลับทันทีอย่างรวดเร็ว วันต่อมา ในตอนบ่ายๆฉันลงไปบันไดข้างล่างไปห้องของฉันแล้วกะจะไปเล่นวีดีโอเกมส์ แต่เมื่อฉันหยุดที่ทางเข้าบันไดใต้ดิน ฉันมองไปด้านซ้ายที่บาร์ขนาดย่อมของพ่อฉัน มันมีพื้นที่ว่างที่มีเก้าอี้โยกอยู่ ห้องนั้นมีไฟสลัวๆจากแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านมาทางประตู เก้าอี้โยกนั้นไม่ได้ขยับแต่อย่างใด ฉันมีความรู้สึกประหลาดใจว่ามันมีบางสิ่งอยู่ตรงนั้น ฉันไม่ได้รู้สึกเหมือนกับว่ามีบางสิ่งจ้องมองฉันอยู่ แต่ฉันรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างในห้องนั้น ฉันไม่ชอบมันเลย ฉันเดินผ่านไปที่ห้องซักรีดแล้วเข้าไปที่ห้องฉันแล้วปิดประตู ฉันคิดว่าฉันคิดไปเอง ฉันจึงเล่นวีดีโอแล้วลืมเรื่องนี้ไปซะ

ประมาณตี 1 ฉันตัดสินใจที่จะไปนอน พ่อแม่ของฉันมักจะตื่นอยู่ตลอดจนถึงตี 3 ถึงตี 4 ฉันจึงได้ยินเสียงพวกเขาคลิกเมาส์เล่นโน้ตบุคเล่นเกมด้วยกันสองคนทั้งคืน เมื่อฉันเดินตรงไปที่ห้องน้ำข้างนอกห้องนอนของฉันเพื่อที่จะแปรงฟัน แม่ของฉันเขียนโน้ตไว้ว่าแสงแดดตอนเช้านั้นดีนะลูก การที่จะตื่นในตอนเช้าเมื่อประตูห้องซักรีดและประตูห้องของฉันปิด ทำให้แสงอาทิตย์นั้ส่องมาไม่ถึงห้องนอนของฉัน เมื่อเห็นดังนั้น ฉันจึงเปิดประตูห้องซักรีดค้างไว้ เมื่อฉันเดินผ่านห้องประตูซักรีดที่จะนำทางไปที่ห้องนั่งเล่น ฉันสัมผัสพลังงานบางอย่างได้อีกแล้ว แต่ครั้งนี้มันรุนแรงกว่าแต่เก่า ฉันรู้สึกขนลุกที่ด้านหลังคอฉัน ฉันรีบเดินไปที่ห้องน้ำแล้วปิดประตู ฉันเสร็จธุระในห้องน้ำแล้วรีบดิ่งไปที่ห้องนอนของฉันที่อยู่ห่างไปไม่กี่ฟุต

ฉันปิดประตูห้องนอนของฉันและคิดว่าปิดประตูห้องของฉันจะดีกว่า ยังไงฉันก็ไม่ชอบตื่นตอนเช้าอยู่แล้ว แต่ฉันยิ่งจะไม่กล้าตื่นเลยถ้าห้องนอนยังคงมืดสนิทเนื่องจากประตูห้องนอนฉันปิดบังแสงอาทิตย์ที่จะสาดส่องมาถึง ฉันจึงทุบประตูให้แตก ไม่กว้างมาก แต่ก็กว้างพอที่จะให้แสงแดดส่องมาถึงในตอนเช้า เปิดพัดลมของฉันพัดเบาๆแล้วคลานกลับไปที่นอนฉัน ฉันดูเหมือนคนหวาดระแวงยังไงไม่รู้ ฉันจึงทำให้แน่ใจว่าเตียงนอนของฉันหันหน้าเข้าประตู ฉันจะได้เห็นว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลมาที่ประตูรึเปล่า

ฉันปิดตาแล้วพยายามที่จะนอน แต่ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น ฉันสัมผัสมันได้อีกแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนกำลังโดนจ้องมองอยู่ ประตูห้องนอนฉันมันเปิดห่างออกไป มันอาจจะเกิดจากพัดลมพัดก็ได้ ฉันคิดอย่างงั้น แต่มันก็ไม่น่าจะง่ายอย่างนั้น ฉันเปิดตาอย่างช้าๆ ฉันยังคงมองไม่เห็นอะไรในความมืดมิดอย่างงี้

ฉันสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างอีกแล้ว แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกเหมือนการถูกจ้องมอง แต่มันเป็นบางคนหรือบางสิ่งที่แข็งแกร่งอย่างมาก อยู่ตรงทางประตูของฉัน ฉันปิดตาของฉันอีกครั้งแล้วพยายามสงบสติอารม์ ฉันมันโง่เง่าเองละมั้ง ฉันคิดกับตัวเอง แต่ก่อนฉันไม่ได้กลัวความมืดเลย ทำไมตอนนี้ฉันกลับกลัวมันล่ะ ?

เมื่อฉันพยายามสะกดตัวเองให้นอนหลับให้ได้ ฉันปิดตาตัวเองให้สนิท หวังว่ามันเป็นเพียงแค่ฝันไป มีบางสิ่งที่ไร้รูปร่างกำลังคลานมาที่ห้องฉันอย่างช้าๆเคลื่อนตัวมันเองผ่านห้องมาที่เตียงฉัน สิ่งนั้นหยุดอยู่กับที่เป็นเวลานาน ขณะที่ตัวฉันเองพยายามอยู่นิ่งที่สุด กลัวมันจะเห็นฉัน หลังจากนั้นเจ้าสิ่งนั้นมันก็เริ่มขยับห่างออกจากเตียงฉันไป

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกๆคืนฉันมักจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่จ้องมองฉันจากนอกประตู มักจะเข้ามาที่ห้องฉันแล้วเดินไปมาที่ห้องนอนของฉัน แต่มันไม่เคยเข้ามาใกล้ฉันเลย ฉันไม่เคยเปิดตาเลยซักครั้งเมื่อฉันสัมผัสถึงอะไรก็ตาม นี่มันก็ผานมาแปดเดือนแล้ว ฉันก็เริ่มเหนื่อยกับเรื่องนี้ ฉันเหนื่อยกับความรู้สึกเหมือนมีอะไรจ้องมองฉันอยู่ตลอดเวลา ฉันคิดว่าพอกันทีถึงแม้ฉันจะกังวลเรื่องที่ฉันจะนอนหลับเกินเวลาตอนที่ไม่มีแสงอาทิตย์ส่องมาช่วยให่ฉันตื่นในตอนเช้า ฉันจึงปิดประตูของฉันตอนกลางคืนไม่ให้มีแสงอะไรเข้ามา ฉันยังคงนอนท่าเดิม หลังชิดผนัง เผื่อเอาไว้ก่อน ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นมันดูเหมือนว่าฉันรู้สึกถึงการมีตัวตนบางอย่างอีกครั้งแต่ว่ามันอยู่แค่หน้าประตูแล้วรออยู่ที่ห้องซักรีด ไม่เข้ามาที่ห้องนอนของฉัน

ฉันรู้สึกปลอดภัยนิดหน่อยที่มันจะมองไม่เห็นตัวฉันอีกแล้ว แต่ฉันก็ยังกลัวความจริงที่ว่ามันยังคงรอฉันอยู่หน้าห้อง คืนต่อมาฉันตัดสินใจที่จะปิดประตูห้องซักรีดไปด้วย มันไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก คืนนั้นฉันก็ยังสัมผัสถึงการมีตัวตนอยู่ที่ห้องนั่งเล่น แต่ว่าความรู้สึกมันจางๆลงจนทำให้ฉันนอนหลับสบายขึ้นเยอะเลย

ตั้งแต่ที่ฉันปิดประตูสองห้องนั้นในตอนกลางคืน ฉันก็ไม่ได้ตื่้นตรงเวลาอีกต่อไป บางทีฉันมักจะไปทำงานสายเป็นชั่วโมง ฉันจึงตัดสินใจซื้อโคมไฟแขวนหน้าประตูพร้อมตัวตั้งเวลา มันได้ผลอยู่ประมาณสัปดาห์แต่มันก็ใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะว่าไม่ว่าฉันจะตั้งเวลาให้มันถูกต้องเท่าไรก็ตาม เช้าต่อมาเวลาปลุกมันมักจะเร็วเกินไป หรือสายเกินไป ฉันจึงคิดว่ามันคงถึงเวลาที่จะทำตัวให้สมเป็นชายหน่อยแล้ว ฉันกลับมาเปิดประตูสองประตูนั้น แล้วให้แสงอาทิตย์ปลุกให้ฉันตื่นดังเดิม

หลังจากที่ฉันกลับมาเปิดประตูได้ไม่นอน สิ่งนั้นมันได้กลับมาอีกแล้ว ฉันรู้สึกว่ามันแข็งแกร่งกว่าเดิม เหมือนกับว่ามันโกรธที่ฉันไปปิดประตูห้องฉัน อย่างไรก็ตามสิ่งนั้นยังไม่เข้ามาที่เตียงนอนของฉัน ฉันจึงพยายามข่มตาให้หลับในแต่ละคืน ทำเป็นว่าสิงนั้นมันไม่มีตัวตน ฉันทำอย่างงี้ทุกวันไม่ได้ ฉันจึงปิดประตูเฉพาะวัน เสาร์ อาทิตย์ ให้ฉันมีเวลาที่จะหลับอย่างสบายบ้าง

แน่นอนว่าเจ้าสิ่งนั้นมันไม่สนุกไปกับการตัดสินใจของฉันแน่ สองสามสัปดาห์ของการปิดประตูในช่วงสุดสัปดาห์ สิ่งหนึ่งที่ฉันไม่อยากให้เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจนได้ สิ่งนั้นมันได้เริ่มเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เตียงฉันขึ้นทุกวัน มันเป็นคืนวันอังคารเมื่อมันเริ่มต้น มันขยับ เข้ามาทีละนิด จากมุมห้องจนมาถึงกลางห้อง สองสามคืนถัดมา มันค้างอยู่กลางห้องแล้วหยุดขยับ สุดสัปดาห์นั้นค่อนข้างจะสงบ ฉันไม่ค่อยรู้สึกว่ามันจะขยับอยู่ที่ห้องนั่งเล่นเลยตลอดสุดสัปดาห์นั้น แต่เมื่อวันอาทิตย์มาถึง ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป

เมื่อฉันเริ่มเปิดประตูออกให้แสงเข้ามา เตรียมตัวสำหรับเจ้าสิ่งนั้นที่จะกลับมาที่ห้องของฉัน มันมารวดเร็วกว่าครั้งก่อนๆที่มันเคยมา มันไม่ได้มาที่ห้องของฉันจากจุดที่มันเคยมาหรือตรงกลางห้อง มันเข้ามาใกล้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ฉันกลัวอย่างมากแล้วพยายามไม่คิดถึงมัน สิ่งที่ฉันทำได้คือทำเป็นไร้ตัวตนแล้วปิดตาให้สนิท

ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น ไม่แน่ใจว่ากี่โมง สิ่งนั้นมันเริ่มขยับมาที่ขาเตียงของฉัน สิ่งนั้นมันไม่ได้อยู่เฉยๆ ฉันรู้สึกได้ว่ามันขยับไปมาที่ขาเตียงของฉัน ฉันไม่สามารถข่มตาหลับได้เมื่อมันขยับไปมาอย่างงี้ โชคดีหน่อยที่หลังจากนั้นมันก็กลับไปที่กลางห้องแล้วอยู่เฉยๆอย่างนั้นตลอดทั้งคืน

งานแต่งงานของฉันใกล้เข้ามาถึงแล้ว  ฉันพร้อมที่จะออกไปจากบ้านหลังนี้เต็มทน อะไรก็ตามที่มันอยู่ชั้นใต้ดินมันได้ใกล้เข้ามาหาฉันเกินที่ฉันจะรับมือไหว ไม่กี่สัปดาห์ก็จะถึงงานแต่งของผม เจ้าสิ่งนั้นมันก็เข้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆอย่างรวมเร็ว อยู่ที่ขาเตียงของฉันเหมือนเดิม ฉันหลับน้อยลง กินน้อยลง แล้วรู้สึกไม่พอใจที่มีบางสิ่งที่ฉันไม่ชอบมาหลอกหลอนฉันอยู่ทุกวันในตอนที่ฉันใกล้จะแต่งงานแล้ว

มันเป็นเวลาตีสองตอนที่ฉันจะไปนอน ดังนั้นฉันจึงเปิดโคมไฟแต่ก็ยังลังเลว่าจะเปิดหรือปิดประตูห้องนอนดี มันไม่มีทางย้อนคืนแล้ว ณ จุดจุดนี้ เมื่อฉันเปิดโคมไฟ เจ้าสิ่งนั้นอาจจะวิ่งเข้ามา หรือมันอาจจะกลัวแสงสว่างแล้วถอยหนีกลีบไป ฉันหายใจเข้าลึก เปิดประตูสองบานนั้นแล้วรีบวิ่งกลับไปที่เตียงนอนของฉัน แต่ฉันยังคงลังเลว่าจะเปิดปิดโคมไฟดี ตอนนี้ยังมีโอกาส พรุ่งนี้ฉันไม่ต้องไปทำงานเพราะว่ามันเป็นวันก่อนแต่งงานของฉัน  การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของฉันคือ ปิดประตูแล้วเปิดโคมไฟทิ้งไว้ และนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันเปิดตาค้างเอาไว้มองหาว่ามีอะไรที่เข้ามาที่ห้องฉันหรือไม่

ฉันยังมองไม่ค่อยเห็นอาจเป็นเพราะตาของฉันยังไม่ชินกับแสงสลัวๆ ฉันสัมผัสได้ถึงมันจากนอกประตูแล้ว มันรออยู่ที่ห้องซักรีด ตาของฉันมองเห็นว่าเจ้าสิ่งนั้นมันมีรูปร่าง มันหมอบอยู่ หมอบลงไปกับพื้น ฉันยังมองไม่เห็นทั้งหมดของมัน ฉันยังกลัวๆอยู่ ยังไม่แน่ใจว่าเจ้าสิ่งนั้นมันอยู่ตรงนั้นจริงๆรเปล่า ฉันอยู่นิ่งๆแล้วมองไปที่สิ่งนั้นที่ถูกปิดบังไปด้วยความมืดของห้องซักรีด

ฉันช่วยอะไรตัวเองไมได้ ฉันจึงปิดตาให้สนิท ฉันไม่แน่ใจว่าจะเปิดหรือปิดตาดี แต่ฉันแน่ใจอย่างนึงว่าร่างกายของฉันจะไม่ขยับไปไหนแน่นอน ฉันเริ่มแอบมองอีกทีแล้วสิ่งที่ฉันเห็น มันยังคงสยองเมื่อนึกถึงมันทุกวันนี้ สิ่งนั้นที่หมอบอยู่ฉันเห็นมันเต็มตัวแล้ว แท้จริงแล้วมันหมอบลงพร้อมกับวางมือไว้ที่พื้นตรงระหว่างขาของมัน หมอบอยู่ที่ตรงกลางห้อง ฉันจ้องมองอย่างไม่กระริบตาพร้อมกับความสยองขวัญว่านั้นเป็นแม่ของฉนเองที่หมอบอยู่ตรงพื้นนั้นมองมาที่ฉันตาไม่กะพริบ หัวของเธอห้อยลงพร้อมกับยิ้มที่กว้างบนใบหน้าของเธอ ผมหยิกสีบลอนด์เข้มของเธอยุ่งเหยิงไปทั่วห้อง สิ่งนี้หรือที่ฉันได้เจอมันเป็นเวลานานนับปี แม่ของฉันมองมาที่ฉันอย่างประหลาดในขณะที่ฉันหลับอยู่ เธอทำอย่างงี้กับน้องสาวของฉันด้วยงั้นเหรอ ? เธอกำลังถูกอะไรบางอย่างเข้าสิงรึเปล่า ?

คำถามนับล้านกำลังแล่นอยู่ในความคิดของผม ไม่กี่วินาทีต่อมาฉันก็พบว่าสิ่งนั้นก้คือแม่ของผมที่มองฉันอยู่ตลอดเวลา เธอเริ่มขยับออกมาจากห้อง เธอค่อยๆขยับเท้าและมือของเธอ พยายามให้ใกล้กับพื้นที่สุด เคลื่อนที่ถอยหลังไปแล้วยังคงจ้องมาที่ฉันด้วยสายตาที่บ้าคลั่ง เธอหยุดอีกครั้งที่ทางประตู นับเป็นนาทีที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของผม จากนั้นเธอก็อันตรธานหายไปในความมืดของห้องซักรีด

ฉันไม่ได้รู้สึกถึงบางสิ่งที่มาจ้องมองฉันอีกจากห้องซักรีด แม่ของผมน่าจะกลับไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วกลับไปที่ชั้นบน ฉันหวังว่าอย่างงั้น ถ้าแม่ของฉันไม่บ้าหรืออะไรก็ตามแต่ ฉันว่าไม่ควรที่จะไปกระตุ้นเธอเลย มีแต่ผมคนเดียวที่รู้ว่าเธอทำอะไรอยู่

ฉันดูเวลาที่มือถือของฉัน มันผ่านมาเป็นชั่วโมงตั้งแต่เธอออกมาาจากของฉัน และฉันไม่รู้สึกถึงสิ่งนั้นีกแล้ว ฉันเปิดโคมไฟแล้วนั่งลงบนเตียง ฉันคิดว่าน่าจะดีกว่าถ้าไปเช็คว่าแม่ของผมอยู่ที่ไหน ไปดูว่าเธอไม่ได้กลับมาที่เตียงของฉันอีก นั่นอาจจะเป็นฉากตายของหนังสยองขวัญบางเรื่องก็เป็นได้.. ผมดูที่ห้องซักรีดแล้วไม่เห็นเธอไปซ่อนที่ห้องนั้น ฉันจึงคิดว่าควรปิดประตูเอาไว้ดีกว่า

ผมตื่นขึ้นมาแล้ว เดินไปที่ห้องซักรีดอย่างช้าๆ ไม่ได้คิดถึงมัน เดินต่อไปยังห้องนั่งเล่นแล้วผมก็เห็นแม่ของผม หมอบลงในท่าเดิมไกลออกจากห้องตรงเก้าอี้โยก เธอมองมาที่ฉันไม่กะพริบตาที่ทางเข้าประตู เธอยังคงโยกหัวขอเธอหน้าหลังไปมาอย่างช้าๆ เธอยังคงไม่ละสายตา ฉันยื่นแข็งทื่อ คลื่นแห่งความหวาดกลัวระลอกใหม่ยังคงถาโถมมาหาฉันที่ห้องนี้ แม่ของฉันเริ่มลากเท้าเข้ามาใกล้ผม เธอยังคงโยกหัวไปมาเหมือนเดิม รอยยิ้มของเธอตอนนี้กว้างแล้วดูอันตรายกว่าเดิม ฉันเปิดประตูก่อนที่เธอจะมาถึงตัวฉัน รีบวิ่งกลับไปที่ห้องนอนฉันแล้วปิดประตู

ฉันได้ยินเสียงดังจากแม่ของผมกระแทกกับประตู หนึ่ง สอง สามครั้งที่เธอน่าจะให้หัวของเธอโขกไปที่ประตู ผมทั้งเสียใจทั้งกลัว ผมหยิบ nunchuck (อาวุธของ Bruce Lee) ที่ผมซื้อมาจากตลาดที่ญี่ปุ่นเมื่อตอนผมยังเด็ก ผมตีแม่ของผมได้ใช่มั้ย ? ถ้ามันทำให้ผมปลอดภัยน่ะ

เสียงดังจากประตูห้องซักรีดหยุดลง นาที่ต่อมาฉันได้ยินเสียงบานพับประตูเปิดออกอย่างช้าๆ ลูกบิดประตูห้องนอนฉันเริ่มขยับไปมา พยายามที่จะเปิดประตู ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นทั้งคืนเปิดไฟสว่าง ตัวสั่นอยู่ที่มุมห้องของห้องนอนฉันมองดูลูกบิดประตูหมุนซ้ายขวา ประมาณหกโมงเช้า เสียงนั้นก็หยุดไป

ผมรอจนถึงเก้าโมงเช้า ให้แน่ใจว่ามันเป็นเวลาในช่วงเช้าจริงๆก่อนที่จะปลดล็อคประตูแล้วเดินออกจากห้อง ผมเดินไปที่ห้องซักรีด แม่ของผมไม่ได้อยู่ที่นั่น ฉันยังคงถือ nunchuck ออยู่ในมือ ฉันมองไปรอบๆแล้วเปิดประตูไปที่ห้องนั่งเล่นแต่เธอก็ไม่ได้อยู่ที่ห้องนั้นเช่นกัน ฉันมองไปรอบๆห้องสามรอบ ทั้งห้องครัวและห้องรับแขก แม่ของฉันนั่งอยู่ที่นั่งประจำของเธอที่โต๊ะทางอาหารค่ำ ทานซีเรียลอยู่ "อรุณสวสดิ์ หลับสบายดีใหม่" เธอถามผมด้วยน้ำเสียงปกติ

"สบายดีฮะ ผมว่า แม่ตื่นอยู่ตลอดทั้งคืนเลยหรอครับ?"

เธอทานซีเรียลที่อยู่ในปากเธอหมดแล้วกลืน "ไม่นะ แม่ไม่ได้ตื่นขึ้นมาเลย ลูกถามทำไมจ๊ะ"

"เปล่าครับ ผมแค่ได้ยินเสียงบางอย่างที่ห้องซักรีด" ฉันควรพูดอะไรออกไปดีเนี่ย เฮ้ย ทำไมแม่พยายามจะฆ่าผมหรือจะทำอะไรผมเมื่อคืนที่แม่มองมาที่ผมขณะที่ผมนอนหลับอยู่ทุกๆคนตั้งแต่ที่ผมอาศัยมาอยู่ที่เนี่ย?

"โอ้ โอเค มันอาจจะมีการซ่อมแซมบ้านก็เป็นได้นะ เธอได้ยินเสียงเกือบทุกอย่างตรงชั้นใต้ดินอยู่แล้วนิ" แม่ของผมพูด แล้วตักซีเรียลเข้าปากไปอีกคำ

"ใช่ฮะ มันก็ไม่น่าจะมีอะไรหรอก" ฉันพูด โกหกอีกครั้ง ฉันปล่อยให้เธอกลับไปทางอาหารต่อไป แล้วฉันเริ่มเตรียมตัวสำหรับวันข้างหน้า ฉันเตรียมพร้อมทุกอย่างสำหรับวันแต่งงานที่จะมีขึ้นในเสาร์นี้ ทั้งวันฉันไม่สามารถลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิดของฉันได้เลย มันไม่ใช่ฝัน ฉันหมายถึงฉันไม่เคยได้นอนเลย ฉันไม่มีโอกาสที่จะได้ฝันหรอก ไม่มีทาง ฉันยังคงเหลืออีกหนึ่งวันที่จะอยู่ที่บ้านนี้แล้วเริ่มวางแผนอะไรบางอย่าง

ฉันขอร้องให้เพื่อนสนิทที่สุดของฉัน แถมเป็นคนดีให้มานอนค้างคืนด้วยกันกับฉัน อ้างว่าให้มาช่วยปลุกหน่อยเพราะกลัวว่าจะตื่นสายในวันแต่งงานของตน ฉันไม่กล้าบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่ของฉัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฉันไม่อยากทำให้เขากลัว อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะฉันยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า

พวกเรานอนกันดึก ยังคงหัวเราะขำขันกับสิ่งที่ผมกับเพื่อนเคยทำสมัยยังเรียนอยู่ด้วยกัน แล้วเล่นวีดีโอเกมส์กัน จนฉันลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนไปแล้ว ฉันหมดแรงแล้วไปนอนบนเตียงนอน ฉันรอให้ตัวฉันทรุดหลับลงไปอยู่ครู่หนึ่ง แต่ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าถ้าแม่ของฉันมาทำแบบเดียวกับที่เธอทำเมื่อวานให้เพื่อนฉันเห็นละ เธอไม่มีทางทำหรอก ฉันไม่ได้สัมผัสถึงเธอตั้งแต่ห้องนั่งเล่นด้วยซ้ำ ฉันนอนหลับลงอย่างรวดเร็ว

งานแต่งงานจบลงโดยไม่มีอุปสรรค มันเป็นช่วงชีวิตที่ดที่สุดของชีวิตฉัน ฉันและภรรยาขับไปที่เมืองคันซัส เพื่อฉลองฮันนีมูนกัน ฉันลืมเรื่องเกือบทั้งหมดก่อนที่จะถึงงานแต่งงานของฉัน จนกระทั่งมันถึงเวลาที่พวกเราเปิดของขวัญวันแต่งงาน

พวกเราเปิดกล่องของขวัญ ที่มีการ์ดให้พวกเราใช้เวลาอ่านนานพอสมควร ฉันเปิดการ์ดที่แม่ของฉันให้กับพวกเรา มันเป็นหนึ่งในการ์ดที่มีเงินอยู่ด้วย ฉันอ่านข้อความที่อยู่บนการ์ดแต่มีเงินในการ์ดหลุดออกมาก่อน พร้อมกับกระดาษที่ถูกพับอยู่ตกลงไปบนพื้น ภรรยาของฉันไม่ทันสังเกต ฉันจึงหยิบกระดาษนั้นขึ้นมาแล้วคลี่ออกมาอ่าน ข้อความในนั้นเป็นตัวอักษรใหญ่ๆดูยุ่งเหยิงเขียนว่า "ฉันจะอยู่กับคุณไปชั่วนิรันดร์"

ฉันรีบพับโน้ตนั้นกลับแล้วโยนลงไปที่ถังขยะ ภรรยาของฉันไม่จำเป็นที่จะต้องรู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง มันจะทำให้เธอกลัวตอนกลางคืนไปเท่านั้น ดังนั้นฉันจึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ

สัปดาห์ต่อมาฉันตื่นขึ้นมาในอพาร์ตเมนต์เหงื่อท่วมตัว ภรรยาหลับอยู่ข้างฉัน ฉันรู้สึกกระหายน้ำแล้วหาน้ำดื่มจากห้องครัว ฉันเดินไปที่ห้องครัวแล้วรินน้ำใสแก้ว เมื่อฉันดื่มเข้าไป ฉันได้ยินเสียงอะไรซักอย่างเดินเข้ามาอยู่ข้างหน้าประตู ฉันไม่ได้คิดอะไร อาจจะเป็นเพื่อนบ้านก็เป็นได้ จากนั้นลูกบิดประตูก็เริ่มหมุนซ้ายขวาไปมา ฉันมองผ่านรูประตูแต่ก็ไม่มีใครอยู่ที่นั่น ฉันจึงปิดรูประตูแล้วหยิบลูกบิดนั่นให้มันหยุดหมุน ฉันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของใครซักคนพยายามที่จะหมุนลูกบิดซ้ายขวาไปมากลับมาหาฉันผ่านทางอีกฝั่งของประตู หลังจากนั้น มันหยุดมุน ฉันมองผ่านรูประตูอีกครั้ง ฉันเห็นแม่ของฉัน คลานต่ำลงไปกับพื้น มองมาที่ฉันด้วยสายตาที่กว้าง ไม่กะพริบตา พร้อมด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว..