วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Gas Station

ผมทำงานกะกลางคืนที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในเมืองเล็กๆทางตะวันตกมาเกือบปีแล้ว บางครั้งผมก็ได้เจอกับคนแปลกๆบ้างแต่ว่าสัปดาห์ที่แล้วนั้นมีบางอย่างทำให้ผมขวัญผวาจนทำให้ผมอยากจะออกจากงานที่ผมทำอยู่

ประมาณตีสามในวันพฤุหัสนั้นมีหญิงแก่ๆคนหนึ่งมาใช้บริการ เธอสูงแต่หลังค่อม เธอสวมเสื้อ
หลวมและมีเสื้อตัวนอกทับอีกชั้นนึงยาวๆ พร้อมกับแว่นตาที่ใหญ่จนเจะบังหน้าเธอเกือบทั้งหมด เธอพูดกับผมว่าสวัสดี น้ำเสียงของเธอไม่เหมือนกับเสียงของหญิงแก่เลย เสียงนั้นทุ้มและดัง เธอมาที่เคาท์เตอร์ร้านและขอร้องให้ผมช่วยซ่อมรถของเธอ

มีบางอย่างที่ผมคิดว่ามันอันตรายจะเกิดขึ้น ผมจึงบอกกับเธอว่าผมไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากปั๊มแห่งนี้ในเวลากลางคืนแบบนี้ เธอค่อนข้างหงุดหงิด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเดินไปมาในปั๊มและเหลือบตามาดูผมหลายครั้งมาก บางครั้งเธอจะเดินไปข้างนอกแล้วชี้ไปที่อะไรบางอย่างพร้อมกับจ้องตาผม เหมือนกับว่าเธออยากให้ผมออกมาข้างนอกแล้วดูสิ่งที่เธอชี้ มีครั้งนึงเธอชี้ไปที่ห้องน้ำ ตอนที่เธอออกมาเธอบอกว่ากระดาษทิชชู่ในห้องน้ำมันหมดแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกถึงอันตรายอยู่ดี ความกลัวได้ถาโถมเข้าใส่ตัวผม ผมจะต้องไม่ออกจากปั๊มแห่งนี้เด็ดขาด ผมจึงยื่นม้วนกระดาษทิชชู่ให้เธอจากด้านหลังของเคาท์เตอร์นั้นแทน ครั้งนี้เธอดูเหมือนจะโกรธและโมโหมากๆด้วย

และเธอก็ยังคงเดินเตร็ดเตร่ไปมาอีกเหมือนเดิม ก่อนที่เธอจะขอร้องให้ผมไปซ่อมเครื่องชงกาแฟ แต่ก็เหมือนเดิม ผมบอกเธอไปอย่างสุภาพว่าผมออกไปข้างนอกปั๊มไม่ได้จริงๆ เธอบ่นพึมถึงการบริการของปั๊มที่ห่วยแตก และในที่สุดเธอก็ออกจากปั๊มแห่งนี้ไป

เมื่อหมดเวลางานของผมนั้นผมก็นั่งรถกลับบ้าน แต่ผมสังเกตเห็นกองผ้ากองนึงอยู่เหนือรั้วตาข่ายที่แยกห่างจากปั๊มไม่ไกลนัก ผมเดินออกจากรถและเดินเข้าไปดูชัดๆ สิ่งที่ผมเห็นคือเสื้อนั้นเป็นเสื้อตัวเดียวกับที่หญิงแก่คนนั้นสวม พร้อมกับแว่นตาใหญ่ๆอันนึงวางอยู่ด้านบน ผมรีบวิ่งกลับไปที่รถแล้วขับออกไปแบบไม่คิดชีวิต ผมยังคงรู้สึกคาใจจนถึงทุกวันนี้...

UPDATE:ผมยังคงทำงานที่ปั๊มนี้อยู่เหมือนเดิม ผมไม่ได้เจออะไรอีกเลยตั้งแต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้กลับมาหาผม อย่างไรก็ตามผมก็ได้ถามเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่ทำงานกะกลางคืนแบบผมว่าเห็นอะไรผิดปกติบ้างไหม เขาตอบผมว่า "ไม่นิ แต่ก็มีผู้หญิงคนนึงถามหาว่าผมจะกลับมาทำงานเมื่อไรอยู่เหมือนกัน" ผมก็ถามต่อถึงลักษณะผู้หญิงคนนั้น เขาบอกว่าเธอเป็นหญิงแก่ที่สวมแว่นตาใหญ่ๆ และเพื่อนร่วมงานผมคนนี้คิดว่าเธออาจจะเป็นคนรู้จักหรือคนในครอบครัวผมเพราะว่าเธอเรียกชื่อของผม ทั้งๆที่ผมยังไม่เคยบอกชื่อผมให้เธอเลย!! เขาบอกเวลาทำงานผมให้กับผู้หญิงคนนั้น ผมถามเขาต่อว่าเธอทำให้เขารู้สึกแปลกๆอะไรไปรึเปล่า เขาก็ตอบว่าไม่ แต่เขาเห็นว่าตอนที่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในปั๊มนั้น ประตูอัติโนมัติไม่ได้เปิดรับเธออยู่หลังจากเธอพยายามเข้ามาในปั๊มถึงสามครั้ง จนในที่สุดเธอต้องใช้มือของเธอเปิดประตูเข้ามาเอง...




Free wifi

เพื่อนๆของผมไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ผมบอกพวกเขาไปว่ามันมีสัญญาณ wireless แบบไม่ล็อกรหัส อยู่ในที่แห่งนี้ได้ มันชื่อว่า "wifi ฟรี" มันช้านิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้พวกเราได้มาตั้งแคมป์อยู่ในใจกลางป่าแห่งหนึ่ง พวกเราจอดรถของพวกเราห่างจากนี้ไปเป็นไมล์ใกล้กับรางรถไฟ จากตรงนั้นไปก็ใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีขับผ่านทางลาดไปขึ้นทางด่วนได้ พูดง่ายๆคือ ตอนนี้พวกเราได้หนีความเจริญศรีวิไลมาลองใช้ชีวิตในป่าดูนั่นแหละ

หลังจากพวกเราทุกคนได้เล่น facebook และตอบข้อความ  snapchats ผมและเพื่อนๆของผมก็นึกสนุกอยากจะหาที่มาของสัญญาณ wifi ว่ามันมาจากไหนกัน  พวกเราแบ่งเป็นสองกลุ่ม Marco และ Sean ไปหาสัญญาณกันทางนึง  Mike กับผมก็แยกกันไปอีกทางนึง สามนาทีหลังจากนี้พวกเราจะกลับมาที่จุดเดิม ขีดสัญญาณ wifi นั้นก็น้อยลงหลังจากที่ผมเดินมาจากจุดที่ผมเริ่มเดินประมาณ 185 ก้าว และมันก็เริ่มจะไม่มีสัญญาณหลังจากที่ผมก้าวไปประมาณ 250 ก้าว

พวกเราเห็นด้วยกับข้อเสนอของ Sean ว่าให้วางแผนในการหาที่มาของสัญญาณ wifi โดย  Marco จะเป็นคนเดินนับก้าว Mike จะคอยดูขีดสัญญาณ wifi ส่วน Sean และผมก็มองหาว่ามันมีใครแอบมาวางกล่องสัญญาณ wifi จากที่ไหนกัน

ประมาณก้าวที่ 100 นั้น Mike บอก Macro ให้หยุดเดิน เพราะสัญญาณ wifi มันขึ้นขีดเต็มแล้ว ผมจึงมองหาแสงไฟหรือว่ามีสายเคเบิลต่อกับอะไรอยู่หรือไม่ แต่ก็ไม่พบอะไร Marco คิดว่ามันคงเป็น พวก pocket wifi ที่คนที่เคยมาตั้งแคมป์ลืมทิ้งเอาไว้ (แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะว่าสัญญาณ 3G มันไม่น่าจะครอบครุมมาถึงที่กันดารแบบนี้)

พวกเรายกเลิกการค้นหาและเดินทางกลับไปที่จุดตั้งแคมป์ จากนั้นสัญญาณ wifi ก็ขาดหายไป

พระอาทิตย์ตกดินแล้ว เริ่มมีหมอกขึ้นมา มันให้ความรู้สึกหลอนนิดๆ พวกเราคิดว่าควรจะเตรียมจัดเก็บของให้เรียบร้อยเพื่อจะนำไปเก็บที่รถบรรทุก แต่เมื่อพวกเรากลับมาถึงแคมป์แล้วพวกเราก็สังเกตเห็นว่าพวกเราโดนขโมยเข้าแล้ว กระเป๋าของทุกๆคนถูกรื้อค้นฉีกขาด เสบียงอาหารไม่เหลือเลย และเต้นท์ของพวกเราก็ล้มลงมา

แต่ผมคิดว่ามันแปลกๆที่หัวขโมยมันไม่ได้ขโมย laptop หรือกล้องของพวกเราเลย พวกมันขโมยไปเพียงอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น พวกเราสัมผัสได้ถึงลางไม่ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอีกต่อไป พวกเรารีบยัดทุกๆอย่างใส่ลงไปในกระเป๋าที่ขาดแล้วให้เร็วที่สุด และรีบวิ่งขึ้นรถบรรทุก แต่ในขณะที่พวกเรายังไม่ถึงรถบรรทุกนั้นเอง Mike บอกพวกเราให้ลองเช็คโทรศัพท์ของพวกเราดู สัญญาณ wifi มันกลับมาขึ้นเต็มเหมือนเดิม! ผมรู้สึกเสียวไปจนถึงกระดูกสันหลังเมื่อได้เห็นชื่อของ wifi มันชื่อว่า : วิ่งสิ ไอ้หนู! วิ่ง!

The Smiling Man (Full Ver.)

ห้าปีที่แล้วตอนผมอาศัยอยู่ที่ใจกลางเมืองนิวยอร์ค ในตอนกลางคืนผมมักจะออกไปเดินเล่นข้างนอกและคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

ตลอดสี่ปีนั้นผมทำอย่างนั้นตลอด เดินคนเดียวในตอนกลางคืน และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้ผมต้องกลัว แต่แล้วมันก็มีเหตุการณ์นึงที่ทำให้ผมกลัวการเดินคนเดียวในตอนกลางคืนไปตลอดชีวิต

มันเป็นวันพุธ ประมาณช่วงตี 1-2 นั้นเอง ผมกำลังเดินอยู่ใกล้ๆกับรถตำรวจซึ่งจอดอยู่ไกลจากอพาร์ตเมนท์ผมพอสมควร มันช่างเป็นค่ำคืนที่เงียบสงบ แม้มันจะเป็นวันหยุดก็ตาม แต่ผมไม่ก็ไม่ค่อยเห็นรถราแล่นแล่นตามท้องถนนซักเท่าใด ยิ่งคนเดินนี่ไม่ต้องพูดถึง

ในขณะที่ผมกำลังจะเดินกลับไปที่อพาร์ตเมนท์ของผมนั้นเอง ผมสังเกตเห็นชายคนหนึ่ง อยู่ตรงสุดของถนน และอยู่ถนนฝั่งเดียวกับผม เป็นเงาของผู้ชายที่กำลังเต้นอยู่ เต้นแบบแปลกๆคล้ายๆกับการเต้นแบบวอลซ์ และแต่ละจังหวะที่เค้าเต้นเค้าก็จะเดินไปข้างหน้าแบบแปลกๆ หรือจะพูดให้ถูกคือเค้ากำลังเดินไปเต้นไปนั้นแหละ พร้อมกับหันหน้ามาหาผม

ผมคิดว่าเค้ากำลังเมาอยู่ ผมจึงลองเดินใกล้เข้าไปดู ยิ่งผมใกล้มากเท่าใด ผมก็ยิ่งสังเกตการเคลื่อนไหวของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น เค้าสูงและผอม และสวมเสื้อสูทตัวเก่าๆ เขายังคงเต้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนผมเห็นหน้าของเขา ตาของเขาเบิกกว้างและกว้างขึ้นเรื่อยๆ หัวของเขาเอียงไปทางด้านหลังเล็กน้อยแหงนมองไปบนท้องฟ้า ปากของเขาฉีกยิ้มกว้างเกินกว่าที่มนุษย์ปกติจะทำได้ด้วยความเจ็บปวด ระหว่างนั้นเอง

ผมรีบหันหน้าหนีแล้วตัดสินใจข้ามถนนหนีก่อนที่เขาจะเข้ามาใกล้ผมมากกว่านี้ ตอนที่ผมไปถึงอีกฝั่งของถนนแล้วนั้นเอง ผมก็เหลือบกลับไปมอง ผมหยุดชะงักด้วยความหวาดกลัว ชายคนนั้นได้หยุดเต้นและค้างท่ายืนขาเดียวอยู่บนถนนนั้น ยืนตรงข้ามกับผม หันหน้ามาทางผมแต่ยังคงแหงนมองที่ท้องฟ้าอยู่ รอยยิ้มยังคงกว้างอยู่อย่างนั้น

ผมตกใจอย่างมากและเริ่มเดินกลับตามปกติพร้อมมองไปที่ชายคนนั้นอยู่ตลอด เค้าไม่ได้ขยับไปไหน ผมเดินไปเรื่อยๆและหันกลับไปดูทางถนนข้างหน้าผม ที่ถนนและทางเดินมันว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่เลย และในตอนนั้นเองผมหันกลับไปมองหาผู้ชายคนนั้น ปรากฏว่าเขาได้หายไปแล้ว ในตอนนั้นผมรู้สึกโล่งออกมาก จนผมเห็นเขาอีกครั้งนึง เค้าได้ข้ามถนนมาอีกฝั่งและครั้งนี้เขาหมอบคลานมา หันมาหาผม ผมใช้เวลาหันกลับไปดูถนนไม่ถึงสิบวินาทีเลย ทำไมเขาเคลื่อนที่ได้รวดเร็วขนาดนี้

ผมช็อกและยืนค้างอยู่อย่างงั้น มองไปที่ชายคนนั้น และเค้าเริ่มเคลื่อนที่มาหาผมอีกครั้งนึง  เค้าวิ่งโดยเขย่งปลายเท้าและก้าวยาวมาก เหมือนกับตัวการ์ตูนที่กำลังสะกดรอยตามใครซักคนอยู่ เว้นแต่ว่าเค้าเคลื่อนที่มาเร็ว เร็วมาก ในวินาทีนั้นผมอยากจะวิ้งให้ไกลที่สุดหรือหยิบสเปรย์พริกไทยหรือมือถือ หรืออะไรซักอย่างที่จะช่วยผมได้ในตอนนั้น แต่ผมไม่ได้ทำ ผมทำได้เพียงแค่ยืนอยู่อย่างนั้นตัวแข็งตอนที่ชายคนนั้นมาใกล้ผมเรื่อยๆ

แต่จู่ๆเขาก็หยุดเคลื่อนไหว ห่างจากผมประมาณรถคันนึง ยังคงฉีกยิ้มและแหงนมองท้องฟ้า

จนในที่สุดผมก็ได้สติและกำลังคิดคำด่ามันอยู่ว่า "มึงต้องการอะไรจากกูวะ" ด้วยน้ำเสียงที่โกรธอย่างเต็มที่ แต่เมื่อผมพูดออกไปจริงๆนั้นผมทำได้เพียงแค่พูดว่า "มึงต้องกา...."

เคยมีคนบอกว่ามนุษย์เราได้กลิ่นความหวาดกลัว หรือแม้แต่ได้ยินด้วย ตอนนี้ผมได้ยินมันในหัว เพียงเท่านั้นก็ทำให้ผมกลัวมากขึ้นได้แล้ว เพียงแค่เห็นชายคนนั้นยืนอยู่นิ่งๆพร้อมกับฉีกยิ้ม

เวลาผ่านไปช้ามาก จนในที่สุดเขาก็หันหลังกลับไปอย่างช้าๆ และเริ่มเต้นไปเดินไปออกไปจากผม ผมไม่คิดจะเดินกลับไปหาเขาอีก ผมมองเค้าห่างจากผมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเค้าอยู่ไกลจนเกือบมองไม่เห็น จนผมสังเกตเห็นว่าเค้าไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนอีกแล้ว เขาเต้นอยู่กับที่ จนผมเห็นเงาของเขาเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขาวิ่งกลับมาหาผม!

ผมเห็นดังนั้น ผมจึงวิ่งหนีจากเขาสุดฝีเท้า

ผมวิ่งไปเรื่อยๆจนผมเห็นไฟถนนและรถวิ่งตามท้องถนน ผมมองหันกลับไป ผมไม่เห็นเขาอีกแล้ว ตลอดทางกลับอพาร์ตเมนท์ ผมก็เหลือบหันไปมองด้านหลังผมตลอดเวลาว่าจะเห็นชายคนนั้นอีกรึไม่ แต่ก็ไม่เห็นอีกแล้ว

ผมยังคงอยู่ที่เมืองนั้นต่ออีกหกเดือนหลังจากคืนนั้น ผมไม่กล้าที่จะไปเดินเล่นข้างนอกคนเดียวอีกเลย มันมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับหน้าของเขาที่ยังคงหลอนผมจนถึงทุกวันนี้ เขาไม่ได้ดูเหมือนคนเมาหรือขาดสติ หน้าของเขาดูเหมือนกับคนที่บ้าคลั่งอย่างเต็มพิกัด นั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ผมเคยเห็นมาในชีวิตผม...

Timekeeper

เขาได้รับนาฬิกาเป็นของขวัญครบรอบสิบขวบ มันเป็นนาฬิกาข้อมือสีเทาธรรมดาๆเหมือนนาฬิกาทั่วไป เว้นแต่ว่ามันเป็นนาฬิกานับถอยหลัง "มันจะบอกเวลาที่เหลืออยู่ที่เธอจะอยู่บนโลกนี้ไอ้หนู ใช้มันให้ดี" หลังจากนั้นเป็นต้นมา นาฬิกายังคงเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ จากเด็กชายเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า เขาปีนขึ้นภูเขาและว่ายน้ำกลางมหาสมุทร เขาพูดคุย หัวเราะ มีชีวิตอยู่และมีความรัก ชายคนนี้ไม่เกรงกลัวสิ่งใด เพราะเขารู้ดีว่าเขาเหลือเวลาอีกเท่าไรบนโลกใบนี้

ในที่สุด นาฬิกาเรือนนี้ก็ได้เริ่มถอยหลังครั้งสุดท้าย ชายแก่ผู้นี้ก็ได้มองดูสิ่งที่เขาทำมาเองกับมือตลอดชีวิตที่เขาได้ผ่านมา 5. เขาจับมือกับเพื่อนที่เป็นนักธุรกิจด้วยกัน เป็นเพื่อนที่เขาสนิทและไว้ใจมากที่่สุด 4. สุนัขของเขาวิ่งมาที่เขาและเลียมือเขา ชายคนนั้นลูบหัวสุนัขตัวนั้นเป็นการบอกลา 3.เขากอดลูกชายของเขา ให้รู้ว่าเขาเป็นพ่อที่ดีของลูก 2.เขาจูบภรรยาของเขากลางหน้าผากเป็นครั้งสุดท้าย 1. ชายแก่ผู้นี้ยิ้มและปิดตาของเขาลง

แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นาฬิกาเพียงแค่ส่งเสียงเตือนก่อนจะปิดลง ชายผู้นั้นยังคงยืนอยู่อย่างนั้น มีชีวิตอยู่เหมือนเดิม คุณอาจจะคิดว่า ณ ช่วงเวลานั้นเขาคงจะมีความสุขที่สุดในชีวิต แต่กลับกัน มันกลับเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา ที่รู้สึกหวาดกลัว

สำหรับคนที่ไม่เข้าใจความหมายนะครับ คือว่าชายคนนี้เค้าใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าเพราะไม่กลัวความตายเพราะมีนาฬิกาบอกว่าเค้าเหลือชีวิตอีกนานเท่าไร แต่หลังจากนาฬิกาปิดลงแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าความตายมันจะมาถึงเมื่อไร เขาก็เลยกลัว ประมาณว่าหลังจากที่นาฬิกานี้ปิดลง ความตายอาจจะมาถึงชายแก่ผู้นี้ตอนไหนก็ได้นั่นเอง

Dead Bart

มันมีตอนตอนนึงที่หายไปจากโชว์ The Simpsons ซีซั่นที่ 1

การจะหาข้อมูลเกี่ยวกับตอนที่หายไปตอนนี้ยากพอสมควร ไม่มีใครที่ทำงานเกี่ยวข้องกับโชว์เรื่องนี้ในตอนนั้นมากพอที่จะพามาคุยได้ จากที่ได้ปะติดปะต่อเรื่องราวกัน ตอนที่หายไปตอนนี้ถูกเขียนขึ้นโดย Matt Groeing ระหว่างการผลิตซีซั่นที่ 1 ของ Simpsons Matt เริ่มทำตัวแปลกประหลาดไป เขากลายเป็นคนเงียบขรึม ดูไม่ปกติแถมยังหงุดหงิดง่าย ถ้าคุณไปหาใครก็ตามในตอนนี้ที่มีความเกี่ยวข้องกับ Matt แล้วถามเกี่ยวกับตัวเขาเขาจะโกรธมาก แล้วห้ามไม่ให้คุณไปยุ่งกับ Matt ครั้งแรกที่ผมได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นเป็นตอนที่ David Silverman กำลังพูดแนะนำโชว์ The Simpsons อยู่ จู่ๆมีคนยกมือถามเขาเกี่ยวกับตอนของโชว์ดังกล่าว Silverman กลับเดินลงจากเวลาทันทีทันใด จบการแนะนำโชว์เร็วกว่ากำหนดหนึ่งชั่วโมง รหัสของตอนที่หายไปคือรหัส 7G06 ชื่อตอนว่า Dead Bart (บาร์ตตายแล้ว) มีป้ายเขียนกำกับว่า 7G06 Moaning Lisaได้แปะป้ายดังกล่าวในภายหลังพร้อมเขียนรหัสของตอนเอาไว้เพื่อซ่อนไม่ให้คนรุ่นหลังรู้

แล้วถ้าคุณไปถามใครก็ตามที่เกี่ยวกับโชว์ตอนนี้ จะทำให้เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะหยุดคุณไม่ให้ไปยุ่งกับ Matt Groening ให้ได้ ในงานสำหรับแฟนๆของ The Simpsons ผมได้เดินตามเขาไปหลังจากที่เขาพูดต่อสาธารณชนเสร็จ จนในที่สุดก็ได้มีโอกาสคุยกับเขาสองต่อสองในขณะที่เขากำลังจะออกจากตัวตึก เขาไม่ได้โกรธที่ผมแอบตามเขามา เขาอาจจะคิดล่วงหน้าว่าจะต้องเจอแฟนๆที่เป็นพวก
สตอล์กเกอร์อยู่แล้ว จนผมเริ่มเข้าเรื่องถามเขาเกี่ยวกับตอนที่หายไปของ The Simpsons จู่ๆหน้าของเขาก็ซีดแล้วตัวเขาก็สั่น แล้วผมก็ถามเขาว่าพอจะมีข้อมูลอะไรที่จะบอกผมได้ไหม เสียงของเขาก็ดูตะกุกตะกักเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง เขาหยิบเศษกระดาษมาหนึ่งชิ้น เขียนบางอย่างลงไปในนั้น แล้วส่งมาที่ผม ก่อนจะจากกันเขาขอร้องไม่ได้ผมสนใจกับเรื่องนี้มากนัก

กระดาษที่ Matt ยื่นมาให้ผมมันเป็นที่อยู่ของเว็บไซต์หนึ่ง ผมขอไม่บอกชื่อเว็บละกัน เพราะคุณจะได้เห็นต่อจากนี้เอง ผมก็พิมพ์ชื่อเว็บตามกระดาษลงไปในเว็บเบราเซอร์ของผม เว็บดังกล่าวดำเกือบทั้งหมด ยกเว้นมันมีตัวอักษรเหลืองอยู่บรรทัดหนึ่ง มันเป็นลิงค์ดาวน์โหลด ผมคลิกไปที่มัน แล้วไฟล์ก็เริ่มดาวน์โหลด ในขณะที่มันดาวน์โหลดอยู่นั่นเอง คอมของผมก็เหมือนจะโดนไวรัส มันเป็นไวรัสที่เลวร้ายที่สุดที่ผมเคยพบมา System restore ทำงานไม่ได้ คอมถูกรีสตาร์ดใหม่ แต่ก่อนที่มันจะเป็นแบบนี้ ผมได้ copy ไฟล์ลงในซีดีแล้ว ผมพยายามที่จะเปิดมันลงบนคอมอีกเครื่องหนึ่งของผม แล้วก็เป็นดังคาด มันเป็นตอนๆหนึ่งของโชว์ The 
Simpsons นั่นเอง

ตอนดังกล่าวเริ่มเรื่องขึ้นปกติเหมือนกับตอนอื่นๆ แต่ดูเหมือนภาพการ์ตูนดูแตกๆ มีคลื่นสั่นไปมา ตอนแรกทุกอย่างดูปกติ แต่สิ่งที่ตัวละครแต่ละตัวกระทำดูแตกต่างออกไปทีละนิด Homerดูดุกว่าเดิมMarge ดู
หดหู่ Lisaดูกระวนกระวาย Bart เหมือนโกรธอะไรบางอย่างแล้วก็โมโหพ่อแม่ของตัวเองด้วย

ตอนดังกล่าวเกี่ยวกับครอบครัว Simpsons กำลังจะไปเที่ยวโดยสารเครื่องบิน ก่อนที่จะจบฉากแรกของตอน เครื่องบินได้บินขึ้น Bart ดูปกติเหมือนๆกับทุกตอน จนกระทั่งเครื่องบินห่างจากพื้นดินประมาณ 
50 ฟุต Bartก็ทุบหน้าต่างเครื่องบินแล้วกระโดดลงมาตาย

ในตอนแรกเริ่มของ The Simpsons นั่น Matt มีความคิดว่าจะให้การ์ตูน Simpsons เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับโลกหลังความตาย แล้วความตายทำให้ทุกอย่างดูสมจริงขึ้น ความคิดของ Matt นั้นถูกมาใช้ในตอนดังกล่าว ภาพศพของ Bart มองไม่ชัดเจนเท่าไร ภาพต่อมาที่เห็นคือเป็นภาพวาด Drawingเกือบสมจริงเป็นภาพศพของ Bart

ฉากแรกจบไปด้วยภาพศพของ Bart ฉากที่สองเริ่มต้นขึ้น Homer Marge และ Lisa นั่งอยู่บนโต๊ะ ร้องไห้ ร้องไห้แล้วร้องไห้อีก เสียงเริ่มรุนแรงและสมจริงขึ้น เหมือนกับเสียงร้องไห้ที่โศกเศร้าจริงๆ ยิ่งร้องไห้เท่าไร ภาพการ์ตูนก็ยิ่งดูเรือนรางไป และถ้าฟังดีๆจะได้ยินเสียงพึมพัมอยู่ด้วย ภาพต่อมาคือทุกคนจะกอดกัน แต่จู่ภาพก็ขยายยืดขึ้นและดูมืดมัว พวกเขาดูเหมือนกับร่างเงาที่มีสีสะเปะสะปะละเลงอยู่ที่ตัวของพวกเขา

ภาพฉายมาที่หน้าของพวกเขาทุกคนมองไปที่หน้าต่าง ซูมเข้าไปมาจนดูไม่ออกว่าตอนนี้พวกเขาดูเหมือนกับอะไรไปแล้ว

เสียงร้องไห้ยังคงดังอยู่ตลอดในฉากที่สอง

ฉากที่สามเริ่มต้นขึ้นโดยมีข้อความเขียนไว้ว่า หนึ่งปีผ่านไป Homer Marge และ Lisa ดูผอมเหลือแต่กระดูก ยังคงนั่งอยู่บนโต๊ะ ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไม่มี Maggie หรือสัตว์เลี้ยงอยู่ในตอนดังกล่าว

พวกเขาตัดสินใจไปเยี่ยมหลุมศพ Bart เมืองSpringfield เป็นทะเลทรายทั้งเมือง เมื่อพวกเขาเดินไปที่สุสาน บ้านของพวกเขาก็พังทลายลงแล้วหายไป ตอนนี้พวกเขาไม่มีบ้านแล้ว เมื่อไปถึงหลุมศพ ร่างของ Bartนอนแผ่อยู่หน้าหลุดศพ ดูเหมือนกับฉากแรกทุกประการ

ทุกคนเริ่มร้องไห้อีกครั้ง จนพวกเขาหยุดร้องไห้แล้วมองไปที่ร่าง Bart กล้องซูมไปที่หน้า Homer เท่าที่ผมเห็น Homer ได้พูดอะไรซักอย่าง แต่ตอนที่ผมดูมันไม่มีเสียง ผมเลยบอกไม่ได้ว่า Homer พูดอะไรออกมา

กล้องซูมออกมาเหมือนกับว่าตอนจะจบแล้ว หลุมศพที่เป็นพื้นหลังของฉากสลักชื่อของแขกรับเชิญที่เคยมารายการ The Simpsons บางคนผมก็ไม่เคยได้ยินชือมาก่อน บางคนก็ยังไม่เคยจะมาทีรายการนี้ด้วยซ้ำ 
ที่ป้ายของสุสานระบุวันตายของทุกคนเอาไว้สำหรับแขกรับเชิญที่ได้ตายไปแล้ว อย่างMichael Jackson และ George Harrison วันเวลาตายตรงกับที่ทั้งสองคนตายจริงๆ ตัดมาที่ฉาก Credit ซึ่งไม่มีเสียงอะไรเลย ตัวอักษรเหมือนเป็นลายมือเขียน ภาพสุดท้ายก่อนจะจบตอนคือภาพครอบครัว Simpsons นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยกัน เหมือนกับที่คุณเคยเห็นส่วนใหญ่ แต่ภาพนี้ดูสมจริงขึ้นกว่ามาก และยังมีศพของ Bart มานั่งที่เก้าอี้
ดังกล่าวอีกด้วย

ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมหลังจากดูตอนนี้จบเป็นรั้งแรกนั้น ผมน่าจะลองดูที่หลุมศพให้ดีแล้วดูวันตายของแขกรับเชิญแต่ละคนที่เคยมาที่รายการ The Simpsons แต่มีบางสิ่งที่แปลกออกไปคือราย
ชื่อของหลุมศพของดาราที่ยังไม่ได้เสียชีวิตนั้น

วันเวลาตายของพวกเขาเป็นวันเวลาเดียวกัน...

ส่วนคลิบตอนดังกล่าวมีอยู่จริงๆ ลองหาดูใน YouTube นะครับผมลง Video ไม่เป็น

Herobrine

เมื่อเร็วๆนี้เองผมได้เล่นโหมด Single-player ในเกม Minecraft ในตอนแรกนั้นทุกๆอย่างดูปกติดี ผมเริ่มตัดต้นไม้แล้วก็คราฟไอเทมตามปกติ จนผมสังเกตเห็นบางสิ่งไกลๆตัวผม เคลื่อนที่ผ่านหมอกที่หนาแน่นไป (คอมพิวเตอร์ของผมช้ามาก ผมจึงปรับให้เกมแสดงผลแค่ระยะใกล้เท่านั้น) ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นวัวก็ได้ ผมจึงไล่ตามมันไป

แต่ว่ามันไม่ใช่วัว มันเป็นตัวละครที่หน้าตาเหมือนกับผมมองมาที่ตัวของผม แต่ว่าลูกตาของเขาว่างเปล่า ไม่มีชื่อปรากฏอยู่ข้างบนตัวละคร ผมจึงตรวจสอบให้แน่ใจว่าผมไม่ได้เล่นอยู่ในโหมด Multiplayer เขาไม่ได้ยืนอยู่ที่นั่นนานนัก เขามองมาที่ผมแล้วก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วในกลุ่มหมอกควันที่หนาแน่นนั้น ผมรีบไล่ตามเขาไป แต่ก็หาเขาไม่เจอ

ผมจึงเล่นเกมต่อไป คิดไม่ออกว่าต้องทำอะไร ในระหว่างที่ผมเดินไปเรื่อยๆนั่นเองผมเห็น สิ่งที่ผมไม่ได้สร้างขึ้นมา มันมีพีระมิดอันเล็กแต่สวยงามสร้างจากทรายอยู่กลางแม่น้ำ แล้วก็ต้นไม้ที่ใบของมันถูกตัดออกไปหมด ผมคิดว่าผมเจอ "ผู้เล่นที่ไม่ได้รับเชิญ" อยู่ในกลุ่มหมอกควันนั้น แต่ผมมองเห็นเขาไม่ชัด ผมพยายามปรับการแสดงผลของเกมให้มีระยะไกลขึ้น แต่ก็ยังไม่เห็นเขาเช่นเดิม

ผมกด save ออกจากเกมแล้วไปดูบอร์ดสนทนาหาว่ามีใครที่พบเจอกับเหตุการณ์เดียวกับผมหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครเลย ผมจึงตั้งกระทู้แล้วเล่าเรื่องราวที่ผมประสบมา แล้วถามว่ามีใครที่เจอเหตุการณ์แบบผมมั่งรึเปล่า แต่กระทู้ของผมก็ถูกลบจากบอร์ดไปภายในห้านาทีหลังจากที่ผมตั้ง ผมพยายามอีกครั้งนึง แต่กระทู้ของผมก็ถูกลบเร็วกว่าเดิม ผมได้รับ PM (ข้อความส่วนตัว) มาจาก login ที่ใช้ชื่อว่า "Herobrine"ในข้อความนั้นเขาเขียนไว้เพียงว่า "หยุด" เมื่อผมลองคลิกเข้าไปดูโปรไฟล์ของ Herobrine แต่มันก็ขึ้น error 404

ผมได้รับเมล์มาจาก user อื่นๆในบอร์ดนั้น เขาบอกกับผมว่าเจ้าของบอร์ดสามารถอ่านข้อความส่วนตัวของ user ทุกคนได้ ดังนั้นเขาจึงส่งข้อความของผมผ่านทาง email จึงปลอดภัยกว่า ในเมล์นั้นเข้าได้บอกกับผมว่าเขาได้เห็นผู้เล่นลึกลับคนนั้นเหมือนกัน จากนั้นผมก็เห็นข้อความคล้ายๆกันนี้กับ userอื่นๆที่เห็นตัวเขาเช่นกัน ทุกข้อความได้อธิบายให้เห็นว่าได้พบกับผู้เล่นปริศนาคนนั้นอย่างชัดเจน แล้วทุกคนก็ได้เห็นทุกอย่างที่เหมือนกันคือ ตาของเขานั้นสีขาวโพลน

หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนจนกระทั่งผมได้รับข่าวว่า บางคนที่ได้พบกับผู้เล่นปริศนาที่ชื่อว่า Herobrine นั้นชื่อนี้ ผู้เล่นอาจจะเป็นชาวสวีเดน หลังจากได้รับข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติ่ม ในที่สุดเรื่องราวก็ถูกเปิดเผยซึ่งที่จริงแล้วผู้เล่นคนนั้นก็คือน้องชายของ Notch (ผู้สร้างเกม Minecraft) นั่นเอง ผมจึงส่งเมล์ไปหาเขา ถามว่าจริงๆแล้วเขามีน้องชายใช่มั้ย ไม่กี่นาทีต่อมา เขาส่งเมล์กลับมาหาผมเป็นข้อความสั้นๆว่า

"ใช่ผมมี แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่กับพวกเราแล้ว" -Notch

หลังจากเหตุการณ์นั้นผมก็ไม่ได้เห็น Herobrine อีกเลย ผมไม่ได้เห็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปใน world ของผมนอกจากสิ่งที่ผมสร้างเอง แต่ผมได้กด print screen ไว้แล้วในตอนแรกที่ได้พบ Herobrine และนั้นก็เป็นหลักฐานเดียวถึงการมีอยู่ของเขา

จริงๆแล้ว pasta นี้เป็นแค่โจ๊กขำๆของตา Notch เขาเท่านั้นครับ เนื่องจากหลังจาก Patch 1.8 ก็ได้มีการอัพเดท หนึ่งในนั้นได้เขียนไว้ว่า "ทำการลบ Herobrine" แต่ในช่วงแรกๆนั้นก็สร้างความสยองขวัญให้กับผู้เล่น Minecraft เป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว