วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Ted the Caver


เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชายสองคนชื่อ B และ Ted เป็นนักขุดถ้ำ ได้เจอหลุมเล็กๆหลุมหนึ่ง (พวกเขาตั้งชื่อให้ว่า Floyd's Tomb พวกเขาสัมผัสถึงลมที่พัดออกมาจากในหลุมนั้น จึงทำให้หลุมมันใหญ่ขึ้นกว่าเดิม



        มีสิ่งสยองขวัญเกิดขึ้นเมื่อเข้าไปข้างในหลุมนั้นเรื่อยๆอย่างเช่น จู่ๆลมก็หยุดพัด , เสียงที่ไม่ทราบที่มาแปลกๆ และเสียงกรีดร้องอย่างน่าสยดสยอง
ครั้งต่อมา พวกเขาได้นำสุนัขไปที่ถ้ำ (หลุม) นั้นซึ่งมันหวาดกลัวมาก การขุดถ้ำยังคงดำเนินต่อไป



ในที่สุด Ted ก็สามารถขุดถ้ำทะลุไปจนถึงอีกฝั่งนึงได้สำเร็จ
ในอีกด้านนึงของถ้ำนั้น เจอสิ่งแปลกประหลาดมากมาย อย่างเช่นภาพวาดบนฝาผนัง หินกลมก้อนใหญ่ และการเกิดคริสตัล ดังภาพ



       การเดินทางครั้งต่อมา พวกเขาได้พาเพื่อนของเขาไปอีกคนชื่อ Joe ไปที่ Floyd's Tomb
ตอนที่ Joe เข้าไปในถ้ำนั้น Ted และ B มองไม่เห็นเขา หรือแม้แต่ได้ยินอะไรเลย
จนในที่สุด Joe ก็กลับออกมาจากถ้ำและไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับข้างในนั้น รู้สึกตัวสั่นๆ ตัวเต็มไปด้วยแผลและรอยขีดข่วน
การขุดถ้ำครั้งต่อมา Ted ตัดสินใจจะบันทึกวีดีโอเทปทุกสิ่งที่เขาเจอในนั้น แต่ทันใดนั้นจู่ๆก็ได้ยินเสียงอะไรซักอย่างอยู่ด้านหลังเขา
เขานำไฟฉายมาติดบนหน้าผากเขาด้วยความหวาดกลัว และด้วยความตื่นตระหนก เขาเผลอโยนแท่งเรืองแสงเข้าไปข้างในห้องนึงของถ้ำนั้น แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เขาพยายามที่จะออกจากถ้ำนั้นและสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง หินก้อนนึงได้ขยับออกและมีรูทางออกอีกทางนึง
Ted คิดว่ามันเป็นทางออกจาถ้ำนี้จึงรีบปีนขึ้นรูนั้นทันที (เขาลืมกล้องวีดีโอบันทึกเอาไว้) ระหว่างที่เขาปีนอยู่นั้นเอง เขาก็ได้กลิ่นแปลกๆเหม็นชื้น เน่าเหม็นอะไรซักอย่าง ใช่มันเป็นกลิ่นของศพ!!


        ตอนนี้ B และ Ted ได้ออกมาจากถ้ำนั้นแล้ว ซึ่ง Ted ออกมาจากถ้ำนั้นจากการที่เค้าเห็นเชือกเส้นนึงโผล่ขึ้นมาในถ้ำนั้น เขาจึงปีนออกจากถ้ำนั้นได้

นี่เป็นฉบับย่อนะครับ เพราะบทความจริงมันยาวมากเป็นบล็อกที่อัพเดทบทความอยู่เรื่อยๆผมจึงไม่ขอแปลทั้งหมดนะครับ ถ้าใครอยากอ่านต้นฉบับเข้าที่ :http://www.angelfire.com/trek/caver/ ที่ผมนำมาแปลเพราะว่าภาพประกอบมันสยอง และสมจริงมากเลยครับ บรื่อย์

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

โปรเจคพิเศษ : Black room Gallery รวมภาพสยองขวัญ [อัพเดทตลอด]














โปรเจ็คพิเศษ : 10 ตำนานเมืองที่ขวัญสยองพองเกล้า

พูดถึง creepypasta บางครั้งก็อาจจะหมายถึงตำนานเมืองที่มีการกล่าวขานกันเป็นเวลานาน สร้างความหวาดผวาให้กับผู้คนที่ได้ยินเรื่องราวเหล่านั้น ไม่ว่าจะที่ใดๆก็ตาม และนี่คือ 10 อันดับตำนานเมืองที่มีเรื่องราวสยองขวัญ

10. Footprints in the snow












ตำนานเมืองเรื่องนี้เป็นเรื่องของสาววัยรุ่นคนนึงที่อยู่บ้านกับน้องสาวของเธอ ในขณะพ่อแม่ของพวกเธอออกไปข้างนอกเมือง หลังจากที่ทั้งคู่ได้ดูทีวีด้วยกันแล้ว เธอก็พาน้องของเธอไปเข้านอนและลงบันไดกลับไปดูทีวีต่ออีกหน่อย จนเธอเบื่อและปิดทีวีไป และไปนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มบนโซฟา และมองหิมะตกผ่านกระจกเลื่อนบานใหญ่ในห้องนั่งเล่น เธอมองหิมะตกเพียงสองสามนาทีก่อนที่จะเห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาที่ประตูบ้านของเธอเหมือนเจตนาจะเข้ามาฆ่าใครซักคนหนึ่ง ชายคนนั้นได้หยิบอะไรบางอย่างที่สะท้อนแสงออกมาจากเสื้อโค้ดของเขา จากนั้นหญิงสาวคนนั้นก็รีบมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มด้วยความหวาดกลัว

เวลาผ่านไป เธอเอาดึงผ้าห่มออกและพบว่าชายคนนั้นไม่อยู่แล้ว เธอรีบแจ้งตำรวจ ตำรวจรีบเดินทางมาที่เกิดเหตุทันทีเพื่อสืบสวนคดีอย่างรวดเร็ว หลังจากการสำรวจสถานที่เกิดเหตุแล้วนั้น สิ่งแรกที่พวกเขาพบคือมันไม่มีรอยเท้าอยู่บนหิมะเลย และด้วยความเร็วของหิมะที่ไม่ได้ตกเร็วเกินไป มันไม่มีทางที่รอยเท้าจะโดนหิมะกลบเร็วขนาดนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาสำรวจต่อภายในบ้านเธอและพบรอยเท้าที่เปียกอยู่บนพรมเช็ดเท้า เดินตรงไปยังโซฟาที่หญิงคนนั้นได้นอนอยู่ ความจริงก็คือฆาตกรที่เธอเห็นนั้นอยู่ข้างหลังเธอตลอดเวลาและสิ่งที่เธอเห็นนั้นเป็นเพียงภาพสะท้อนของชายคนนั้นในกระจกนั่นเอง

9.The Chilling Discovery












เรื่องนี้หลายคนคงคุ้นเคยกันดี เริ่มขึ้นโดยสาวมหาลัยคนหนึ่งได้อยู่ที่เรียนจนดึก เพราะว่าเธอใช้เวลาไปนานกับการอยู่ในห้องสมุดแทนที่จะอยู่ในหอพักของเธอ ระหว่างคืนนั้นเอง เธอนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมของบางอย่างที่ห้องหอของเธอ เธอจึงตัดสินใจเดินกลับไปเอามัน เมื่อเธอเปิดประตูขึ้นมาเธอพบว่าห้องมืดสนิท เธอคิดว่าเพื่อนร่วมหอพักคงนอนหรือไม่ก็อยู่เรียนจนดึกเหมือนกับเธอ เธอไม่อยากรบกวนเพื่อนของเธอเผื่อว่าเธอกำลังหลับอยู่ เธอจึงเดินคลำๆหาของที่เธอต้องการโดยไม่เปิดไฟ แล้วกลับไปที่ห้องสมุด

หลังจากที่เธอเรียนที่ห้องสมุดเสร็จแล้วกลับมาที่หอเธอ เธอพบศพของเพื่อนร่วมหอเธอนอนอยู่พร้อมแผลเหวอะที่คอ และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่เธอเห็นคือ ข้อความที่เขียนโดยลิปสติกที่กระจกห้องน้ำว่า "ดีใจมั้ยล่ะที่ไม่ได้เปิดไฟ?"

8.The Unfortunate Coat Incident











ตำนานเมืองเรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นในวันหนึ่งในฤดูหนาวมีคู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่งได้มีปาร์ตี้ที่บ้านสำหรับลูกของพวกเขา เริ่มมีแขกที่ฝ่าอากาศหนาวเข้ามาร่วมงานเรื่อย และได้รับการต้อนรับโดยเจ้าของบ้าน พวกเขาโยนเสื้อโค้ดไปบนเตียงที่อยู่ใกล้กับห้องรับแขก ตอนแรกมันมีเสื้อโค้ดเพียงสองสามตัว แต่เมื่อเริ่มมีแขกเข้ามาเรื่อยๆ ทุกๆคนต่างก็โยนเสื้อโค้ดจนมันสูงเป็นกองพะเนิน

เวลาผ่านไป แขกทุกคนได้เข้ามาในงานครบทุกคนแล้ว หนุ่มสาวคู่นี้จึงตัดสินใจว่าถึงเวลาที่จะนำลูกของพวกเขามาให้แขกทุกคนได้เห็นกัน ดังนั้นแม่ของเด็กจึงเดินไปที่เตียงนอนที่เธอวางลูกของเธอเอาไว้ จากนั้นเสียงกรีดร้องก็ได้ดังขึ้นเมื่อแม่ของเด็กพบว่าลูกของเธอได้ขาดอากาศหายใจตายภายใต้กองของเสื้อโค้ดของแขกเหล่านั้นเอง

7.The Gas Station Attendant












มันดึกมากแล้ว และหญิงสาวคนหนึ่งได้ขับรถผ่านพื้นที่ที่เธอไม่คุ้นเคยในละแวกนั้น รถของเธอนั้นเก่าและจะพังแหล่มิพังแหล่ จนเธอคิดว่าเธอควรจะหยุดรถเธอที่ปั๊มน้ำมันไม่งั้นเธอคงจะต้องเดินกลับไปแทนขับรถแน่ โชคดีที่เธอขับรถผ่านมาเจอปั๊มน้ำมันเก่าๆแห่งนึงอยู่ไม่ไกลจากถนนนั้น มันเป็นเหมือนกับปั๊มน้ำมันที่ดูล้าสมัย และก็มีคนที่น่าจะเป็นพนักงานในปั๊มเดินออกมาจากปั๊มน้ำมันแห่งนั้น เธอรู้สึกถึงอันตรายที่จะเข้ามาใกล้ตัวเธอ แต่เธอก็คิดว่าเธอคงไปไม่ได้ไกลนักโดยไม่ได้เติมน้ำมันรถ เธอจึงนำรถของเธอไปที่ปั๊มนั้นและขอให้เติมน้ำมันให้รถอย่างไม่เต็มใจนัก

พนักงานในปั๊มดูค่อนข้างน่ากลัวตอนที่เขากำลังเติมน้ำมันให้รถ และหลังจากเขาเติมเสร็จแล้วก็เดินมาที่ที่นั่งของคนขับเพื่อมารับเงิน หญิงคนนั้นให้เงินเขาไป 20 ดอลลาร์ ชายคนนั้นตรวจแบงค์อย่างรอบคอบก่อนที่จะบอกเธอไปว่านี่มันเป็นแบงค์ปลอม ตอนนี้เธอไม่รู้สึกถึงอันตรายแล้ว แต่เธอรู้ว่าเธออาจกำลังจะโดนหลอกเอาเงินเพิ่มจากพนักงานคนนี้ เขาอธิบายว่าเขาจะต้องพาเธอไปที่ทำงานของเขาและเรียกให้ผู้จัดการของเขามาเอาเรื่องเธอ เพราะว่าเรื่องแบงค์ปลอมนี้จะต้องไปแจ้งทางธนาคาร หลังจากที่พนักงานพาเธอออกมาจากรถแล้วนั้น เขาได้อธิบายว่าจริงๆแล้วเธอไม่ได้ให้แบงค์ปลอมเค้ามา ที่เค้าพาเธอออกมาจากรถก็เพราะว่าเขาเห็นชายถือขวานคนหนึ่งซ่อนอยู่เบาะหลังของรถเธอ...

6.The Wily Home Invader












หญิงคนหนึ่งได้อยู่ที่บ้านคนเดียวจนเธอได้ยินเสียงของผู้หญิงเคาะที่ประตูบ้านเธอและตะโกนขอเข้าไปในบ้าน เมื่อหญิงเจ้าของบ้านถามว่าเธอเป็นใคร หญิงนอกบ้านบอกว่าเธอถูกทำร้ายโดนชายคนหนึ่งและต้องการหลบไปยังที่ที่ปลอดภัย เมื่อหญิงเจ้าของบ้านฟังเสียงของหญิงคนนั้นดีๆ เธอพบว่ามันเป็นเสียงของผู้ชาย แต่ว่าแกล้งทำให้เสียงเหมือนกับผู้หญิง ผู้หญิงนอกบ้านได้ปิดช่องตาแมวไว้ไม่ให้หญิงเจ้าของบ้านเห็น ดังนั้นหญิงเจ้าของบ้านจึงแอบมองผ่านหน้าต่างข้างๆประตูหน้าบ้านนั้น เธอเห็นผู้หญิงคนนึงในเสื้อดำ และเธอได้ยินเสียงของผู้ชายกำลังพูดอยู่กับหญิงชุดดำคนนั้น จนในที่สุดพวกเขาทั้งสองคนก็เดินออกจากประตูบ้านไป ทิ้งปริศนาไว้ให้คิดอย่างน่าขนลุก ยากที่จะจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหญิงเจ้าของบ้านให้พวกเขาเข้ามาในบ้าน แต่มันต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ

5.The Lost Child












หญิงสาวคนหนึ่งเดินไปตามถนนในฤดูใบไม้ผลิวันหนึ่ง จนเธอได้เห็นเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างถนนแล้วร้องไห้ เธอตัดสินใจหยุดและเข้าไปถามเด็กน้อยคนนั้นว่าเป็นอะไรไป เด็กหญิงของนั้นบอกเธอว่าเธอหลงทาง เด็กคนนั้นสูดน้ำมูกก่อนจะขอร้องให้หญิงสาวคนนั้นช่วยพาเธอกลับบ้านที เธอตอบรับคำขอร้องของเด็กนั้นอย่างเต็มใจ โชคดีที่เด็กหญิงคนนี้รู้ที่อยู่ของเธอและพอจะจำทางไปบ้านของเธอได้นิดหน่อย จนในที่สุดทั้งคู่ก็ไปจนถึงบ้านของเด็กหญิงคนนั้นได้ เธอบอกกับหญิงสาวคนนั้นไปว่าเธอเตี้ยเกินที่จะเอื้อมมือไปกดออดประตูจึงขอให้เธอกดออดแทนเธอให้หน่อย

หญิงสาวคนนั้นกดกริ่งประตูโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ทันใดนั้นก็มีกระแสไฟฟ้าช็อตไปที่ตัวของเธอ ทำให้เธอสลบไป เธอตื่นขึ้นมาหลังจากหลายชั่วโมงผ่านไปพบว่าตัวเองอยู่ในร่างเปลือยเปล่าและเต็มไปด้วยถุงยางที่ถูกใช้แล้ว บ้านหลังนี้ว่างเปล่า คนที่ข่มขืนเธอได้หนีหายไปไกลแล้ว พร้อมกับเด็กหญิงที่เธอพามาที่บ้านหลังนี้ด้วย...

4.The Hitchhiking Old Woman












เรื่องเริ่มขึ้นโดยหญิงสาว (อีกแล้ว...) คนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้าในตอนดึกเพื่อเดินไปที่รถของเธอ ตอนที่เธอกำลังจะขึ้นรถนั้นเอง เธอสังเกตเห็นหญิงแก่คนหนึ่งยืนใกล้กับกระจกที่นั่งของผู้โดยสารรถเธอ และหญิงคนนั้นสังเกตเห็นอีกว่ากระจกบานนั้นได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ หญิงแก่ได้อธิบายว่าเธอเห็นกระจกรถเธอแตกเธอจึงมายืนเฝ้าเอาไว้ไม่ให้ใครมาขโมยของในรถ

หญิงสาวคนนั้นขอบคุณในความช่วยเหลือของหญิงแก่ หญิงแก่ได้บอกกับเธอว่าเธอได้พลาดรถเมล์เพราะว่ามัวแต่เฝ้ารถของเธอ เธอจึงยินดีที่จะไปส่งหญิงแก่ให้ถึงบ้าน อย่างไรก็ตามในขณะที่ทั้งคู่พูดคุยระหว่างทางกลับบ้านด้วยกันนั้นเอง หญิงสาวสังเกตเห็นหญิงแก่ดูมีขนเยอะเกินกว่าจะเป็นคนแก่ และมีแขนเหมือนกับผู้ชายมากกว่า เห็นดังนั้นเธอจีงรีบเหยียบเบรคทันทีอย่างรวดเร็ว หญิงแก่คนนั้นรีบวิ่งหนีออกไปจากรถอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ตำรวจค้นหารถเธอแล้วพบว่าหญิงแก่คนนั้นได้ซ่อนมีดและเชือกเอาไว้ที่เบาะด้านหลังรถของเธอ

 3. The Fat Vampire












  เรื่องราวของแวมไพร์ที่ดูดไขมันไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่ประการใด มันถูกเรียกกันว่า pishtacos และยังเป็นปีศาจในตำนานของเปรู โดยมันมักจะแอบตามเหยื่อตามทะเลทรายและใช้เวทมนตร์ของมันในการขโมยไขมันของนักเดินทางคนนั้น ตำนานของปีศาจตนนี้มีลักษณะคล้ายๆกับการจับกุมของสมาชิกแก๊งหนึ่งในเปรูได้ดักตีหัวนักเดินทาง จากนั้นพาพวกเขาไปที่ที่ซ่อนตัวของแก๊งนั้น และขุนนักเดินทางที่จับได้จนอ้วนแล้วนำไปขายในตลาดมืด คาดว่ามีนักเดินทางที่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งนี้ประมาณ 60 คน ก่อนที่จะถูกจับได้ในที่สุด

2.Don’t Open The Door












หญิงสาวคนหนึ่งได้อยู่จนถึงกลางคืน เนื่องจากทำงานและท้องเน็ตอยู่ในห้องนั่งเล่นของเธอ จู่ๆเธอได้ยินเสียงของเด็กร้องขึ้นมาจากข้างนอกบ้านเธอ เธอลุกขึ้นไปสำรวจเสียงนั้น แต่ก็ไม่เห็นอะไรผ่านรูกุญแจประตู และเธอคิดว่ามันแปลกที่จะมีเด็กมาร้องอยู่นอกบ้านที่อยู่ชานเมืองอย่างบ้านเธอ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางคืนแล้วด้วย เธอไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไร เธอจึงตัดสินใจเรียกตำรวจ เธอบอกตำรวจว่าเธอลองเปิดกระตูบ้านเธอเพื่อดูว่ามีเด็กอยู่แถวนี้หรือไม่ เพราะว่าเธอได้ยินเสียงเด็กร้องใกล้กับหน้าต่างบ้านเธอและเธอกลัวว่าเด็กนั้นจะคลานไปบนถนนและเกิดอันตรายได้

          หลังจากฟังที่เธอเล่า เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกกับเธอว่าเธอไม่ควรที่จะเปิดประตูบ้านไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น เพราะหลังจากที่ตำรวจได้เดินทางมาที่บ้านเธอนั้น ตำรวจไม่พบเด็กหรือหลักฐานใดๆว่ามีเด็กอยู่แถวนั้นเลย และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากเจ้าของบ้านหลายคนแล้วที่บอกว่าได้ยินเสียงเด็กร้องทำนองเดียวกันนี้ และตำรวจคิดว่ามันน่าจะเป็นพวกกลุ่มคนที่หลอกผู้หญิงให้เปิดประตูบ้านของพวกเธอ โดยใช้เสียงบันทึกของเด็กร้องล่อให้เธอเปิดประตูออกมา


1.The Scream Nobody Heard












ในมหาลัยบางแห่งนั้น จะมีประเพณีโดยการให้นักศึกษาที่อยู่ในหอพักมหาลัยนั้นปล่อยเสียงกรีดร้องลั่นของพวกเขาออกมาในเวลาที่กำหนด เนื่องจากเพื่อให้นักศึกษาปลดปล่อยความเครียด โดยเฉพาะช่วงโค้งสุดท้ายของการสอบ ในสัปดาห์สุดท้ายที่ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้มีกำหนดการให้ทุกๆคนในหอพักนั้นกรีดร้องตอนเที่ยงคืนเพื่อปลดปล่อยสิ่งที่กังวลใจออกมา และดังคาดเอาไว้ ทุกๆคนได้ทำพิธีการกรีดร้องกันทุกคน 
          พิธีกรรมได้เสร็จสิ้นไป เสียงได้เงียบลงและทุกๆคนก็ได้เข้าไปนอน จนเช้าวันต่อมาได้มีการพบว่าหนึ่งในเสียงกรีดร้องของเมื่อวานนั้นเป็นของจริง มีหญิงสาวคนหนึ่งได้ถูกข่มขืนในคืนก่อนหน้านั้น เวลาที่เธอถูกข่มขืนนั้นดันไปตรงกับพิธีกรรมการกรีดร้องนั้นพอดี ไม่มีใครได้ยินเสียงกรีดร้องของเธอ เพราะใครจะแยกเสียงกรีดร้องจริงออกจากเสียงกรีดร้องเป็นร้อยล่ะจริงมั้ย? ต่อจากนั้นเป็นต้นมาประเพณีการกรีดร้องก็ได้ถูกยกเลิกไปจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และใครก็ตามที่แหกกฏนั้นจะต้องถูกไล่ออกโดยไม่มีข้อยกเว้น

ปล. สำหรับใครที่นึกเสียงไม่ออกลองฟังจากที่เค้าเคยบันทึกก่อนหน้านั้นที่เคยมีพีธีดังกล่าวกันนะครับ สมมติว่าเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนนั้นอยู่ในคลิปนี้จริงๆคุณจะแยกออกรึเปล่า? ว่าเสียงไหนเป็นเสียงกรีดร้องของจริง?!