10. Footprints in the snow
ตำนานเมืองเรื่องนี้เป็นเรื่องของสาววัยรุ่นคนนึงที่อยู่บ้านกับน้องสาวของเธอ ในขณะพ่อแม่ของพวกเธอออกไปข้างนอกเมือง หลังจากที่ทั้งคู่ได้ดูทีวีด้วยกันแล้ว เธอก็พาน้องของเธอไปเข้านอนและลงบันไดกลับไปดูทีวีต่ออีกหน่อย จนเธอเบื่อและปิดทีวีไป และไปนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มบนโซฟา และมองหิมะตกผ่านกระจกเลื่อนบานใหญ่ในห้องนั่งเล่น เธอมองหิมะตกเพียงสองสามนาทีก่อนที่จะเห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาที่ประตูบ้านของเธอเหมือนเจตนาจะเข้ามาฆ่าใครซักคนหนึ่ง ชายคนนั้นได้หยิบอะไรบางอย่างที่สะท้อนแสงออกมาจากเสื้อโค้ดของเขา จากนั้นหญิงสาวคนนั้นก็รีบมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มด้วยความหวาดกลัว
เวลาผ่านไป เธอเอาดึงผ้าห่มออกและพบว่าชายคนนั้นไม่อยู่แล้ว เธอรีบแจ้งตำรวจ ตำรวจรีบเดินทางมาที่เกิดเหตุทันทีเพื่อสืบสวนคดีอย่างรวดเร็ว หลังจากการสำรวจสถานที่เกิดเหตุแล้วนั้น สิ่งแรกที่พวกเขาพบคือมันไม่มีรอยเท้าอยู่บนหิมะเลย และด้วยความเร็วของหิมะที่ไม่ได้ตกเร็วเกินไป มันไม่มีทางที่รอยเท้าจะโดนหิมะกลบเร็วขนาดนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาสำรวจต่อภายในบ้านเธอและพบรอยเท้าที่เปียกอยู่บนพรมเช็ดเท้า เดินตรงไปยังโซฟาที่หญิงคนนั้นได้นอนอยู่ ความจริงก็คือฆาตกรที่เธอเห็นนั้นอยู่ข้างหลังเธอตลอดเวลาและสิ่งที่เธอเห็นนั้นเป็นเพียงภาพสะท้อนของชายคนนั้นในกระจกนั่นเอง
9.The Chilling Discovery
เรื่องนี้หลายคนคงคุ้นเคยกันดี เริ่มขึ้นโดยสาวมหาลัยคนหนึ่งได้อยู่ที่เรียนจนดึก เพราะว่าเธอใช้เวลาไปนานกับการอยู่ในห้องสมุดแทนที่จะอยู่ในหอพักของเธอ ระหว่างคืนนั้นเอง เธอนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมของบางอย่างที่ห้องหอของเธอ เธอจึงตัดสินใจเดินกลับไปเอามัน เมื่อเธอเปิดประตูขึ้นมาเธอพบว่าห้องมืดสนิท เธอคิดว่าเพื่อนร่วมหอพักคงนอนหรือไม่ก็อยู่เรียนจนดึกเหมือนกับเธอ เธอไม่อยากรบกวนเพื่อนของเธอเผื่อว่าเธอกำลังหลับอยู่ เธอจึงเดินคลำๆหาของที่เธอต้องการโดยไม่เปิดไฟ แล้วกลับไปที่ห้องสมุด
หลังจากที่เธอเรียนที่ห้องสมุดเสร็จแล้วกลับมาที่หอเธอ เธอพบศพของเพื่อนร่วมหอเธอนอนอยู่พร้อมแผลเหวอะที่คอ และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่เธอเห็นคือ ข้อความที่เขียนโดยลิปสติกที่กระจกห้องน้ำว่า "ดีใจมั้ยล่ะที่ไม่ได้เปิดไฟ?"
8.The Unfortunate Coat Incident
ตำนานเมืองเรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นในวันหนึ่งในฤดูหนาวมีคู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่งได้มีปาร์ตี้ที่บ้านสำหรับลูกของพวกเขา เริ่มมีแขกที่ฝ่าอากาศหนาวเข้ามาร่วมงานเรื่อย และได้รับการต้อนรับโดยเจ้าของบ้าน พวกเขาโยนเสื้อโค้ดไปบนเตียงที่อยู่ใกล้กับห้องรับแขก ตอนแรกมันมีเสื้อโค้ดเพียงสองสามตัว แต่เมื่อเริ่มมีแขกเข้ามาเรื่อยๆ ทุกๆคนต่างก็โยนเสื้อโค้ดจนมันสูงเป็นกองพะเนิน
เวลาผ่านไป แขกทุกคนได้เข้ามาในงานครบทุกคนแล้ว หนุ่มสาวคู่นี้จึงตัดสินใจว่าถึงเวลาที่จะนำลูกของพวกเขามาให้แขกทุกคนได้เห็นกัน ดังนั้นแม่ของเด็กจึงเดินไปที่เตียงนอนที่เธอวางลูกของเธอเอาไว้ จากนั้นเสียงกรีดร้องก็ได้ดังขึ้นเมื่อแม่ของเด็กพบว่าลูกของเธอได้ขาดอากาศหายใจตายภายใต้กองของเสื้อโค้ดของแขกเหล่านั้นเอง
7.The Gas Station Attendant
มันดึกมากแล้ว และหญิงสาวคนหนึ่งได้ขับรถผ่านพื้นที่ที่เธอไม่คุ้นเคยในละแวกนั้น รถของเธอนั้นเก่าและจะพังแหล่มิพังแหล่ จนเธอคิดว่าเธอควรจะหยุดรถเธอที่ปั๊มน้ำมันไม่งั้นเธอคงจะต้องเดินกลับไปแทนขับรถแน่ โชคดีที่เธอขับรถผ่านมาเจอปั๊มน้ำมันเก่าๆแห่งนึงอยู่ไม่ไกลจากถนนนั้น มันเป็นเหมือนกับปั๊มน้ำมันที่ดูล้าสมัย และก็มีคนที่น่าจะเป็นพนักงานในปั๊มเดินออกมาจากปั๊มน้ำมันแห่งนั้น เธอรู้สึกถึงอันตรายที่จะเข้ามาใกล้ตัวเธอ แต่เธอก็คิดว่าเธอคงไปไม่ได้ไกลนักโดยไม่ได้เติมน้ำมันรถ เธอจึงนำรถของเธอไปที่ปั๊มนั้นและขอให้เติมน้ำมันให้รถอย่างไม่เต็มใจนัก
พนักงานในปั๊มดูค่อนข้างน่ากลัวตอนที่เขากำลังเติมน้ำมันให้รถ และหลังจากเขาเติมเสร็จแล้วก็เดินมาที่ที่นั่งของคนขับเพื่อมารับเงิน หญิงคนนั้นให้เงินเขาไป 20 ดอลลาร์ ชายคนนั้นตรวจแบงค์อย่างรอบคอบก่อนที่จะบอกเธอไปว่านี่มันเป็นแบงค์ปลอม ตอนนี้เธอไม่รู้สึกถึงอันตรายแล้ว แต่เธอรู้ว่าเธออาจกำลังจะโดนหลอกเอาเงินเพิ่มจากพนักงานคนนี้ เขาอธิบายว่าเขาจะต้องพาเธอไปที่ทำงานของเขาและเรียกให้ผู้จัดการของเขามาเอาเรื่องเธอ เพราะว่าเรื่องแบงค์ปลอมนี้จะต้องไปแจ้งทางธนาคาร หลังจากที่พนักงานพาเธอออกมาจากรถแล้วนั้น เขาได้อธิบายว่าจริงๆแล้วเธอไม่ได้ให้แบงค์ปลอมเค้ามา ที่เค้าพาเธอออกมาจากรถก็เพราะว่าเขาเห็นชายถือขวานคนหนึ่งซ่อนอยู่เบาะหลังของรถเธอ...
6.The Wily Home Invader
หญิงคนหนึ่งได้อยู่ที่บ้านคนเดียวจนเธอได้ยินเสียงของผู้หญิงเคาะที่ประตูบ้านเธอและตะโกนขอเข้าไปในบ้าน เมื่อหญิงเจ้าของบ้านถามว่าเธอเป็นใคร หญิงนอกบ้านบอกว่าเธอถูกทำร้ายโดนชายคนหนึ่งและต้องการหลบไปยังที่ที่ปลอดภัย เมื่อหญิงเจ้าของบ้านฟังเสียงของหญิงคนนั้นดีๆ เธอพบว่ามันเป็นเสียงของผู้ชาย แต่ว่าแกล้งทำให้เสียงเหมือนกับผู้หญิง ผู้หญิงนอกบ้านได้ปิดช่องตาแมวไว้ไม่ให้หญิงเจ้าของบ้านเห็น ดังนั้นหญิงเจ้าของบ้านจึงแอบมองผ่านหน้าต่างข้างๆประตูหน้าบ้านนั้น เธอเห็นผู้หญิงคนนึงในเสื้อดำ และเธอได้ยินเสียงของผู้ชายกำลังพูดอยู่กับหญิงชุดดำคนนั้น จนในที่สุดพวกเขาทั้งสองคนก็เดินออกจากประตูบ้านไป ทิ้งปริศนาไว้ให้คิดอย่างน่าขนลุก ยากที่จะจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหญิงเจ้าของบ้านให้พวกเขาเข้ามาในบ้าน แต่มันต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ
5.The Lost Child
หญิงสาวคนหนึ่งเดินไปตามถนนในฤดูใบไม้ผลิวันหนึ่ง จนเธอได้เห็นเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างถนนแล้วร้องไห้ เธอตัดสินใจหยุดและเข้าไปถามเด็กน้อยคนนั้นว่าเป็นอะไรไป เด็กหญิงของนั้นบอกเธอว่าเธอหลงทาง เด็กคนนั้นสูดน้ำมูกก่อนจะขอร้องให้หญิงสาวคนนั้นช่วยพาเธอกลับบ้านที เธอตอบรับคำขอร้องของเด็กนั้นอย่างเต็มใจ โชคดีที่เด็กหญิงคนนี้รู้ที่อยู่ของเธอและพอจะจำทางไปบ้านของเธอได้นิดหน่อย จนในที่สุดทั้งคู่ก็ไปจนถึงบ้านของเด็กหญิงคนนั้นได้ เธอบอกกับหญิงสาวคนนั้นไปว่าเธอเตี้ยเกินที่จะเอื้อมมือไปกดออดประตูจึงขอให้เธอกดออดแทนเธอให้หน่อย
หญิงสาวคนนั้นกดกริ่งประตูโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ทันใดนั้นก็มีกระแสไฟฟ้าช็อตไปที่ตัวของเธอ ทำให้เธอสลบไป เธอตื่นขึ้นมาหลังจากหลายชั่วโมงผ่านไปพบว่าตัวเองอยู่ในร่างเปลือยเปล่าและเต็มไปด้วยถุงยางที่ถูกใช้แล้ว บ้านหลังนี้ว่างเปล่า คนที่ข่มขืนเธอได้หนีหายไปไกลแล้ว พร้อมกับเด็กหญิงที่เธอพามาที่บ้านหลังนี้ด้วย...
4.The Hitchhiking Old Woman
เรื่องเริ่มขึ้นโดยหญิงสาว (อีกแล้ว...) คนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้าในตอนดึกเพื่อเดินไปที่รถของเธอ ตอนที่เธอกำลังจะขึ้นรถนั้นเอง เธอสังเกตเห็นหญิงแก่คนหนึ่งยืนใกล้กับกระจกที่นั่งของผู้โดยสารรถเธอ และหญิงคนนั้นสังเกตเห็นอีกว่ากระจกบานนั้นได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ หญิงแก่ได้อธิบายว่าเธอเห็นกระจกรถเธอแตกเธอจึงมายืนเฝ้าเอาไว้ไม่ให้ใครมาขโมยของในรถ
หญิงสาวคนนั้นขอบคุณในความช่วยเหลือของหญิงแก่ หญิงแก่ได้บอกกับเธอว่าเธอได้พลาดรถเมล์เพราะว่ามัวแต่เฝ้ารถของเธอ เธอจึงยินดีที่จะไปส่งหญิงแก่ให้ถึงบ้าน อย่างไรก็ตามในขณะที่ทั้งคู่พูดคุยระหว่างทางกลับบ้านด้วยกันนั้นเอง หญิงสาวสังเกตเห็นหญิงแก่ดูมีขนเยอะเกินกว่าจะเป็นคนแก่ และมีแขนเหมือนกับผู้ชายมากกว่า เห็นดังนั้นเธอจีงรีบเหยียบเบรคทันทีอย่างรวดเร็ว หญิงแก่คนนั้นรีบวิ่งหนีออกไปจากรถอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ตำรวจค้นหารถเธอแล้วพบว่าหญิงแก่คนนั้นได้ซ่อนมีดและเชือกเอาไว้ที่เบาะด้านหลังรถของเธอ
3. The Fat Vampire
เรื่องราวของแวมไพร์ที่ดูดไขมันไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่ประการใด มันถูกเรียกกันว่า pishtacos และยังเป็นปีศาจในตำนานของเปรู โดยมันมักจะแอบตามเหยื่อตามทะเลทรายและใช้เวทมนตร์ของมันในการขโมยไขมันของนักเดินทางคนนั้น ตำนานของปีศาจตนนี้มีลักษณะคล้ายๆกับการจับกุมของสมาชิกแก๊งหนึ่งในเปรูได้ดักตีหัวนักเดินทาง จากนั้นพาพวกเขาไปที่ที่ซ่อนตัวของแก๊งนั้น และขุนนักเดินทางที่จับได้จนอ้วนแล้วนำไปขายในตลาดมืด คาดว่ามีนักเดินทางที่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งนี้ประมาณ 60 คน ก่อนที่จะถูกจับได้ในที่สุด
2.Don’t Open The Door
หญิงสาวคนหนึ่งได้อยู่จนถึงกลางคืน เนื่องจากทำงานและท้องเน็ตอยู่ในห้องนั่งเล่นของเธอ จู่ๆเธอได้ยินเสียงของเด็กร้องขึ้นมาจากข้างนอกบ้านเธอ เธอลุกขึ้นไปสำรวจเสียงนั้น แต่ก็ไม่เห็นอะไรผ่านรูกุญแจประตู และเธอคิดว่ามันแปลกที่จะมีเด็กมาร้องอยู่นอกบ้านที่อยู่ชานเมืองอย่างบ้านเธอ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางคืนแล้วด้วย เธอไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไร เธอจึงตัดสินใจเรียกตำรวจ เธอบอกตำรวจว่าเธอลองเปิดกระตูบ้านเธอเพื่อดูว่ามีเด็กอยู่แถวนี้หรือไม่ เพราะว่าเธอได้ยินเสียงเด็กร้องใกล้กับหน้าต่างบ้านเธอและเธอกลัวว่าเด็กนั้นจะคลานไปบนถนนและเกิดอันตรายได้
หลังจากฟังที่เธอเล่า เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกกับเธอว่าเธอไม่ควรที่จะเปิดประตูบ้านไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น เพราะหลังจากที่ตำรวจได้เดินทางมาที่บ้านเธอนั้น ตำรวจไม่พบเด็กหรือหลักฐานใดๆว่ามีเด็กอยู่แถวนั้นเลย และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากเจ้าของบ้านหลายคนแล้วที่บอกว่าได้ยินเสียงเด็กร้องทำนองเดียวกันนี้ และตำรวจคิดว่ามันน่าจะเป็นพวกกลุ่มคนที่หลอกผู้หญิงให้เปิดประตูบ้านของพวกเธอ โดยใช้เสียงบันทึกของเด็กร้องล่อให้เธอเปิดประตูออกมา
1.The Scream Nobody Heard
ในมหาลัยบางแห่งนั้น จะมีประเพณีโดยการให้นักศึกษาที่อยู่ในหอพักมหาลัยนั้นปล่อยเสียงกรีดร้องลั่นของพวกเขาออกมาในเวลาที่กำหนด เนื่องจากเพื่อให้นักศึกษาปลดปล่อยความเครียด โดยเฉพาะช่วงโค้งสุดท้ายของการสอบ ในสัปดาห์สุดท้ายที่ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้มีกำหนดการให้ทุกๆคนในหอพักนั้นกรีดร้องตอนเที่ยงคืนเพื่อปลดปล่อยสิ่งที่กังวลใจออกมา และดังคาดเอาไว้ ทุกๆคนได้ทำพิธีการกรีดร้องกันทุกคน
พิธีกรรมได้เสร็จสิ้นไป เสียงได้เงียบลงและทุกๆคนก็ได้เข้าไปนอน จนเช้าวันต่อมาได้มีการพบว่าหนึ่งในเสียงกรีดร้องของเมื่อวานนั้นเป็นของจริง มีหญิงสาวคนหนึ่งได้ถูกข่มขืนในคืนก่อนหน้านั้น เวลาที่เธอถูกข่มขืนนั้นดันไปตรงกับพิธีกรรมการกรีดร้องนั้นพอดี ไม่มีใครได้ยินเสียงกรีดร้องของเธอ เพราะใครจะแยกเสียงกรีดร้องจริงออกจากเสียงกรีดร้องเป็นร้อยล่ะจริงมั้ย? ต่อจากนั้นเป็นต้นมาประเพณีการกรีดร้องก็ได้ถูกยกเลิกไปจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และใครก็ตามที่แหกกฏนั้นจะต้องถูกไล่ออกโดยไม่มีข้อยกเว้น
ปล. สำหรับใครที่นึกเสียงไม่ออกลองฟังจากที่เค้าเคยบันทึกก่อนหน้านั้นที่เคยมีพีธีดังกล่าวกันนะครับ สมมติว่าเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนนั้นอยู่ในคลิปนี้จริงๆคุณจะแยกออกรึเปล่า? ว่าเสียงไหนเป็นเสียงกรีดร้องของจริง?!
อันดับ 6 กระเทย
ตอบลบ