วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Being an apartment manager sucks



ผมเป็นผู้จัดการอพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง ผมเจอกับสิ่งวุ่นวายต่างๆมากมายมากว่าสามปีที่ประกอบอาชีพนี้ อย่างเช่นเรื่องที่มีหญิงคนหนึ่งในอพาร์ตเมนท์ได้เสียชีวิต และทิ้งแมวที่เธอเลี้ยงไว้ 30 กว่าตัวในห้องนั้น ผมคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะเลี้ยงพวกมันเอาไว้เยอะถึงขนาดนั้น ผมนึกว่าเธอจะเลี้ยงไว้ซักสองหรือสามตัว ฤดูร้อนปีที่แล้วผมก็เจอกับเรื่องราวสยองขวัญกับผู้เช่ารายต่อมาของผม เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ผมคงจะเล่าได้เพียงครึ่งนึงเท่านั้น แต่ผมมั่นใจเลยว่าคุณก็คงจะสยองขวัญไม่แพ้กันกับผมแน่นอน

ผมรับโทรศัพท์ในขณะที่ผมอยู่ในบาร์ตอนดึกในวันศุกร์จากผู้เช่ารายหนึ่งของผม พวกเขาโทรมาบอกว่าได้กลิ่นเหม็นเน่ามาจากข้างห้องที่พวกเขาเช่าอยู่ ผมรู้จักผู้เช่าที่อยู่ในห้องนั้น เขาแก่มากแล้ว และความคิดแรกที่ผมคิดคือเขาคงจะเสียชีวิตและกลิ่นนั้นคงจะเป็นกลิ่นของศพ ผมเมาเกินกว่าจะขับรถเองได้ผมจึงบอกให้เพื่อนผมขับรถพาไปที่อพาร์ตเมนท์นั้น

ผมถามเพื่อนว่าอยากจะเข้าไปดูในห้องกับผมมั้ย แต่เขาปฏิเสธเพราะไม่อยากเห็นศพ ผมคิดกับตัวเองว่า "ใครมั่งที่ไม่อยากจะลองห็นศพด้วยตาตัวเองสักครั้ง" ผมคิดว่าเขาคงไม่เมาเหมือนกับผมตอนนั้น ผมบอกให้เขารอผมในรถซักแปป เขาก็ตอบตกลง ผมมองไปยังอพาร์ตเมนท์ของผม ผมว่าผมน่าจะให้เพื่อนมากับผมจริงๆ ผมขึ้นไปยังชั้นบนที่ห้องดังกล่าวแล้วเคาะประตูสองสามครั้ง แล้วถามเข้าไปในห้องว่า "คุณเชอร์แมน (นามสมมติ) คุณสบายดีมั้ยครับ? ผมมาตรวจสอบห้องคุณหน่อยนะครับ" เมื่อผมเห็นว่าเค้าไม่ได้ส่งเสียงใดๆตอบผม ผมจึงปลดล็อกประตูแล้วเข้าไปในห้องดังกล่าว

กลิ่นฉุนนั้นแรงแตะจมูกของผมอย่างมาก ผมเคยแล่เนื้อกวางมูซมาก่อนและกลิ่นมันเหม็นมากเมื่อผมได้กลิ่นมัน และกลิ่นในห้องนี้มันคล้ายกันมาก ถ้าจะให้อธิบายก็คือผมคิดว่ากลิ่นพวกนี้มันเกินกว่าที่จะให้ผมคิดว่ามันมีศพของใครซักคนอยู่ในห้องนี้ แต่ผมก็ยังคงต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนที่จะเรียกตำรวจมา  เพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ใกล้จะสุดสัปดาห์ซะด้วย

ผมจึงตรวจสอบห้องของอพาร์ตเมนท์นี้ต่อไปทุกซอกซุกมุม ผมรู้โครงสร้างของอพาร์ตเมนท์นี้อยู่แล้ว (ห้องส่วนใหญ่จะเหมือนๆกัน) ผมจึงเริ่มดูในแต่ละห้องของชายคนนี้ในขณะเดียวกันผมก็ถือเสื้อเชิร์ตบังหน้าเผื่อเอาไว้กันกลิ่นเหม็นเน่าที่ออกมา เริ่มจากห้องนั่งเล่น (เป็นห้องแรกที่คุณเจอหลังเปิดประตูเข้ามา) น่าแปลกใจที่มันสะอาดเอี่ยมอ่อง ตั้งหนังสือที่อยู่บนโต๊ะถูกจัดเรียงอย่างสวยงาม และโทรศัพท์ที่แขวนอยู่บนผนังก็ถูกวางไว้ในที่ๆมันควรวาง จากนั้นผมมองไปที่มุมห้องแล้วเผลอสบถกับตัวเองว่า "ชิ*หาย" และรีบถอยห่างออกมา มีหมาตัวนึงจ้องมาที่ผม มันเป็นพันธุ๋เทอร์เรียตัวเล็กสีดำ มันไม่ได้เห่าหรือทำอะไรเลยซึ่งผมคิดว่ามันก็แค่กลัว ผมจึงหัวเราะตัวเองที่ดันไปกลัวเรื่องไม่เป็นเรื่อง มันยังคงนึ่งอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน ผมรู้สึกแปลกๆหลังจากเวลาผ่านไปค่อนข้างนานแล้วมันยังคงไม่ขยับไปไหนเหมือนเดิม หรือว่ามันจะเป็น.... ใช่แล้วครับมันโดนจับทำสตัฟฟ์ ชายคนนั้นได้สตัฟฟ์หมาเทอร์เรียร์ในห้องนั่งเล่นของเขา แปลกจริงๆ แต่ผมก็ยังคงอารมณ์ดีอยู่ ยังคงหัวเราะตัวเองที่ไปกลัวหมาสตัฟฟ์ ผมเดินไปยังซ้ายมือไปที่ห้องครัวต่อไป

ห้องครัวนั้นค่อนข้างรก มีมีดอยู่ในอ่างล้างมือ และเคาท์เตอร์มีเศษขนมปังและข้าวของอื่นๆว่างอยู่ ผมเปิดตู้เย็นดูว่าจะมีกลิ่นอะไรออกมามั้ย แต่ก็ไม่มี ตู้เย็นว่างเปล่า ไม่มีข้าวของส่วนตัวของเค้าอยู่เลยในห้องนั่งเล่นแล้วห้องครัวยกเว้นจานสองสามใบ และหมาสตัฟฟ์สีดำตัวนั้นในห้องนั่่งเล่น  ผมจึงกลับไปที่ห้องนั่งเล่นแล้ว ชิ*หายแล้วหมามันขยับได้!! แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะว่ามันมีหมาอีกตัวอยู่หลังโซฟาซึ่งผมไม่ได้สังเกตในตอนแรก แต่ก็เกือบทำให้ผมหัวใจวายเหมือนกัน ชายประหลาดคนนี้สตัฟฟ์หมาตัวเองไว้สองตัวแต่ละตัวก็มองไปคนละทิศละทาง ซึ่งตัวที่สองมันไม่เหมือนพันธุ์เทอร์เรีย มันคล้ายๆกับชิทสุซะมากกว่านะผมว่า แต่ช่างมันเถอะ ณ จุดๆนี้ผมยังได้ยินเสียงหัวใจเต้นเร็วอยู่ในหูตัวเองอยู่เลย

พอผมได้สติอีกครั้งผมก็เดินไปยังห้องโถงแล้วตรวจดูตู้เสื้อผ้า ว่างเปล่า กลิ่นมันเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ห้องต่อไปคือห้องนอน ในห้องนี้กลิ่นไม่แรงมากเท่าไรผมจึงคิดว่าห้องนี้คงไม่มีอะไรมั้ง ห้องค่อนข้างมืดผมจึงเปิดสวิตซ์ไฟห้องนอนขึ้น แล้วจู่ๆฟูกก็ตกลงมาจากเตียงนอน สิ่งที่ผมเห็นคือ ผ้าปูที่นอนขาดรุ่งริ่ง และมีรูและรอยขีดข่วนมากมายเต็มผนังห้อง ซึ่งรอยอยู่ในระดับอก อาจจะเป็นร่องรอยการต่อสู้อะไรซักอย่าง และสิ่งที่น่าแขยงที่สุดก็คือคราบสีแดงมากมายอยู่บนพรมเช็ดเท้า สีแดงเหมือนกับไวน์ (อย่าลืมว่าตอนนั้นผมกำลังเมาอยู่ ) ผมจึงคิดว่าไอคราบนี้คงไม่ใช่เลือดหรอก (ซึ่งจริงๆแล้วมันก็คือเลือดนั่นแหละ ผมนี่โง่จริงๆ) สิ่งที่ผมคิดอยู่ในหัวก็คือ ช่างมันและเรื่องเงินค่าเช่าห้อง ไอคนที่มันอยู่ห้องนี้ต้องไสหัวออกไปให้ได้ทุกๆห้องที่ผมตรวจสอบนั้นผมก็หวังว่าจะพบกับศพในซักห้องนึงเพื่อที่จะรู้ว่าต้นตอของกลิ่นมันอยู่ตรงไหนแล้วออกมาจากสถานที่นี้ซักที จากนั้นผมไปยังห้องน้ำและมีพรมเช็ดเท้าขนอยู่ในนั้น แต่มันดูไม่เหมือนกับพรมเช็ดเท้า มันเหมือนกับขนสัตว์เล็ก ประมาณ 20 กว่าชนิดมารวมกันวางอยู่บนพื้นห้องน้ำซะมากกว่า ส่วนใหญ่จะสีดำและน้ำตาล แต่ก็มีบางอันสีขาว ผมไม่มันใจว่ากลิ่นมันเหม็นรึเปล่า แต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่ต้นตอของกลิ่นแน่นอน

ผมกลับไปยังห้องโถงไปยังอีกห้องนอนนึง ตอนนี้ผมอารมณ์ไม่ดีเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ อดรีนาลีนหลั่งไปทั่วตัวผม มันรู้สึกเหมือนกับอยู่ในหนังสยองขวัญ ผมตรงไปยังห้องนอนซึ่งเป็นห้องสุดท้ายและแน่นอน ผมเจอศพในห้องนั้น เขานอนตายหน้าคว่ำอยู่บนเตียงนอนของเขาโดยที่เข่าของเขาวางอยู่บนพื้น ไม่ใส่กางเกงใน ก้นเปล่าๆนั้นหันมาทางเดินประตู (ที่ผมนั่นแหละ) ตอนนี้ผมต้องออกจากที่แห่งนี้แล้วไปบอกเพื่อนผมในรถว่าผมเจออะไร และเขาไม่เชื่อจนกระทั่งตำรวจมาถึง

นี่ผมยังไม่ได้เล่าส่วนที่แย่ที่สุดของเรื่องเลย ตำรวจนายหนึ่งบอกผมว่า จริงๆแล้วชายคนนี้เป็นสัตวแพทย์และเขามักจะนำศพของสัตว์ทุกตัวที่ตายแล้วจากฝีมือของเขากลับมาบ้าน เขาเป็นพวกโรคจิตชอบถลกหนังพวกมันและโยนร่างที่ไร้หนังเหล่านั้นลงในอ่างอาบน้ำในห้องน้ำอีกห้องนึง ซึ่งเป็นห้องที่ผมยังไม่ได้เช็ค ห้องน้ำที่ผมเช็คแล้วนั้นเป็นที่ๆเค้าเก็บหนังสัตว์ของพวกมันนั่นเอง (ที่มันเหมือนกับพรมนั่นแหละ) และส่วนที่เลวร้ายของเลวร้ายที่สุดก็คือชายคนนี้ตายจากอาการหัวใจวายในขณะที่เขากำลังเอาลำไส้ของสัตว์ตัวนึงมาสำเร็จความไคร่โดยการยัดที่ก้นของเขา และทิ้งมันเป็นกองพะเนินไว้ในอ่างอาบน้ำหลังจากที่เขาเสร็จแล้ว ในที่สุดค่าเช่าประมาณ 500 เหรียญนั้นก็ไม่ได้เพียงพอสำหรับการซ่อมแซมอพาร์ตเมนท์ แถมยังทิ้งเรื่องราวสะเทือนใจให้กับผู้จัดการอพาร์ตเมนท์อย่างผมอีกด้วย

ใช่ ผมโคตรเกลียดงานนี้เลย







วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Ted the Caver


เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชายสองคนชื่อ B และ Ted เป็นนักขุดถ้ำ ได้เจอหลุมเล็กๆหลุมหนึ่ง (พวกเขาตั้งชื่อให้ว่า Floyd's Tomb พวกเขาสัมผัสถึงลมที่พัดออกมาจากในหลุมนั้น จึงทำให้หลุมมันใหญ่ขึ้นกว่าเดิม



        มีสิ่งสยองขวัญเกิดขึ้นเมื่อเข้าไปข้างในหลุมนั้นเรื่อยๆอย่างเช่น จู่ๆลมก็หยุดพัด , เสียงที่ไม่ทราบที่มาแปลกๆ และเสียงกรีดร้องอย่างน่าสยดสยอง
ครั้งต่อมา พวกเขาได้นำสุนัขไปที่ถ้ำ (หลุม) นั้นซึ่งมันหวาดกลัวมาก การขุดถ้ำยังคงดำเนินต่อไป



ในที่สุด Ted ก็สามารถขุดถ้ำทะลุไปจนถึงอีกฝั่งนึงได้สำเร็จ
ในอีกด้านนึงของถ้ำนั้น เจอสิ่งแปลกประหลาดมากมาย อย่างเช่นภาพวาดบนฝาผนัง หินกลมก้อนใหญ่ และการเกิดคริสตัล ดังภาพ



       การเดินทางครั้งต่อมา พวกเขาได้พาเพื่อนของเขาไปอีกคนชื่อ Joe ไปที่ Floyd's Tomb
ตอนที่ Joe เข้าไปในถ้ำนั้น Ted และ B มองไม่เห็นเขา หรือแม้แต่ได้ยินอะไรเลย
จนในที่สุด Joe ก็กลับออกมาจากถ้ำและไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับข้างในนั้น รู้สึกตัวสั่นๆ ตัวเต็มไปด้วยแผลและรอยขีดข่วน
การขุดถ้ำครั้งต่อมา Ted ตัดสินใจจะบันทึกวีดีโอเทปทุกสิ่งที่เขาเจอในนั้น แต่ทันใดนั้นจู่ๆก็ได้ยินเสียงอะไรซักอย่างอยู่ด้านหลังเขา
เขานำไฟฉายมาติดบนหน้าผากเขาด้วยความหวาดกลัว และด้วยความตื่นตระหนก เขาเผลอโยนแท่งเรืองแสงเข้าไปข้างในห้องนึงของถ้ำนั้น แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เขาพยายามที่จะออกจากถ้ำนั้นและสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง หินก้อนนึงได้ขยับออกและมีรูทางออกอีกทางนึง
Ted คิดว่ามันเป็นทางออกจาถ้ำนี้จึงรีบปีนขึ้นรูนั้นทันที (เขาลืมกล้องวีดีโอบันทึกเอาไว้) ระหว่างที่เขาปีนอยู่นั้นเอง เขาก็ได้กลิ่นแปลกๆเหม็นชื้น เน่าเหม็นอะไรซักอย่าง ใช่มันเป็นกลิ่นของศพ!!


        ตอนนี้ B และ Ted ได้ออกมาจากถ้ำนั้นแล้ว ซึ่ง Ted ออกมาจากถ้ำนั้นจากการที่เค้าเห็นเชือกเส้นนึงโผล่ขึ้นมาในถ้ำนั้น เขาจึงปีนออกจากถ้ำนั้นได้

นี่เป็นฉบับย่อนะครับ เพราะบทความจริงมันยาวมากเป็นบล็อกที่อัพเดทบทความอยู่เรื่อยๆผมจึงไม่ขอแปลทั้งหมดนะครับ ถ้าใครอยากอ่านต้นฉบับเข้าที่ :http://www.angelfire.com/trek/caver/ ที่ผมนำมาแปลเพราะว่าภาพประกอบมันสยอง และสมจริงมากเลยครับ บรื่อย์

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

โปรเจคพิเศษ : Black room Gallery รวมภาพสยองขวัญ [อัพเดทตลอด]














โปรเจ็คพิเศษ : 10 ตำนานเมืองที่ขวัญสยองพองเกล้า

พูดถึง creepypasta บางครั้งก็อาจจะหมายถึงตำนานเมืองที่มีการกล่าวขานกันเป็นเวลานาน สร้างความหวาดผวาให้กับผู้คนที่ได้ยินเรื่องราวเหล่านั้น ไม่ว่าจะที่ใดๆก็ตาม และนี่คือ 10 อันดับตำนานเมืองที่มีเรื่องราวสยองขวัญ

10. Footprints in the snow












ตำนานเมืองเรื่องนี้เป็นเรื่องของสาววัยรุ่นคนนึงที่อยู่บ้านกับน้องสาวของเธอ ในขณะพ่อแม่ของพวกเธอออกไปข้างนอกเมือง หลังจากที่ทั้งคู่ได้ดูทีวีด้วยกันแล้ว เธอก็พาน้องของเธอไปเข้านอนและลงบันไดกลับไปดูทีวีต่ออีกหน่อย จนเธอเบื่อและปิดทีวีไป และไปนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มบนโซฟา และมองหิมะตกผ่านกระจกเลื่อนบานใหญ่ในห้องนั่งเล่น เธอมองหิมะตกเพียงสองสามนาทีก่อนที่จะเห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาที่ประตูบ้านของเธอเหมือนเจตนาจะเข้ามาฆ่าใครซักคนหนึ่ง ชายคนนั้นได้หยิบอะไรบางอย่างที่สะท้อนแสงออกมาจากเสื้อโค้ดของเขา จากนั้นหญิงสาวคนนั้นก็รีบมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มด้วยความหวาดกลัว

เวลาผ่านไป เธอเอาดึงผ้าห่มออกและพบว่าชายคนนั้นไม่อยู่แล้ว เธอรีบแจ้งตำรวจ ตำรวจรีบเดินทางมาที่เกิดเหตุทันทีเพื่อสืบสวนคดีอย่างรวดเร็ว หลังจากการสำรวจสถานที่เกิดเหตุแล้วนั้น สิ่งแรกที่พวกเขาพบคือมันไม่มีรอยเท้าอยู่บนหิมะเลย และด้วยความเร็วของหิมะที่ไม่ได้ตกเร็วเกินไป มันไม่มีทางที่รอยเท้าจะโดนหิมะกลบเร็วขนาดนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาสำรวจต่อภายในบ้านเธอและพบรอยเท้าที่เปียกอยู่บนพรมเช็ดเท้า เดินตรงไปยังโซฟาที่หญิงคนนั้นได้นอนอยู่ ความจริงก็คือฆาตกรที่เธอเห็นนั้นอยู่ข้างหลังเธอตลอดเวลาและสิ่งที่เธอเห็นนั้นเป็นเพียงภาพสะท้อนของชายคนนั้นในกระจกนั่นเอง

9.The Chilling Discovery












เรื่องนี้หลายคนคงคุ้นเคยกันดี เริ่มขึ้นโดยสาวมหาลัยคนหนึ่งได้อยู่ที่เรียนจนดึก เพราะว่าเธอใช้เวลาไปนานกับการอยู่ในห้องสมุดแทนที่จะอยู่ในหอพักของเธอ ระหว่างคืนนั้นเอง เธอนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมของบางอย่างที่ห้องหอของเธอ เธอจึงตัดสินใจเดินกลับไปเอามัน เมื่อเธอเปิดประตูขึ้นมาเธอพบว่าห้องมืดสนิท เธอคิดว่าเพื่อนร่วมหอพักคงนอนหรือไม่ก็อยู่เรียนจนดึกเหมือนกับเธอ เธอไม่อยากรบกวนเพื่อนของเธอเผื่อว่าเธอกำลังหลับอยู่ เธอจึงเดินคลำๆหาของที่เธอต้องการโดยไม่เปิดไฟ แล้วกลับไปที่ห้องสมุด

หลังจากที่เธอเรียนที่ห้องสมุดเสร็จแล้วกลับมาที่หอเธอ เธอพบศพของเพื่อนร่วมหอเธอนอนอยู่พร้อมแผลเหวอะที่คอ และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่เธอเห็นคือ ข้อความที่เขียนโดยลิปสติกที่กระจกห้องน้ำว่า "ดีใจมั้ยล่ะที่ไม่ได้เปิดไฟ?"

8.The Unfortunate Coat Incident











ตำนานเมืองเรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นในวันหนึ่งในฤดูหนาวมีคู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่งได้มีปาร์ตี้ที่บ้านสำหรับลูกของพวกเขา เริ่มมีแขกที่ฝ่าอากาศหนาวเข้ามาร่วมงานเรื่อย และได้รับการต้อนรับโดยเจ้าของบ้าน พวกเขาโยนเสื้อโค้ดไปบนเตียงที่อยู่ใกล้กับห้องรับแขก ตอนแรกมันมีเสื้อโค้ดเพียงสองสามตัว แต่เมื่อเริ่มมีแขกเข้ามาเรื่อยๆ ทุกๆคนต่างก็โยนเสื้อโค้ดจนมันสูงเป็นกองพะเนิน

เวลาผ่านไป แขกทุกคนได้เข้ามาในงานครบทุกคนแล้ว หนุ่มสาวคู่นี้จึงตัดสินใจว่าถึงเวลาที่จะนำลูกของพวกเขามาให้แขกทุกคนได้เห็นกัน ดังนั้นแม่ของเด็กจึงเดินไปที่เตียงนอนที่เธอวางลูกของเธอเอาไว้ จากนั้นเสียงกรีดร้องก็ได้ดังขึ้นเมื่อแม่ของเด็กพบว่าลูกของเธอได้ขาดอากาศหายใจตายภายใต้กองของเสื้อโค้ดของแขกเหล่านั้นเอง

7.The Gas Station Attendant












มันดึกมากแล้ว และหญิงสาวคนหนึ่งได้ขับรถผ่านพื้นที่ที่เธอไม่คุ้นเคยในละแวกนั้น รถของเธอนั้นเก่าและจะพังแหล่มิพังแหล่ จนเธอคิดว่าเธอควรจะหยุดรถเธอที่ปั๊มน้ำมันไม่งั้นเธอคงจะต้องเดินกลับไปแทนขับรถแน่ โชคดีที่เธอขับรถผ่านมาเจอปั๊มน้ำมันเก่าๆแห่งนึงอยู่ไม่ไกลจากถนนนั้น มันเป็นเหมือนกับปั๊มน้ำมันที่ดูล้าสมัย และก็มีคนที่น่าจะเป็นพนักงานในปั๊มเดินออกมาจากปั๊มน้ำมันแห่งนั้น เธอรู้สึกถึงอันตรายที่จะเข้ามาใกล้ตัวเธอ แต่เธอก็คิดว่าเธอคงไปไม่ได้ไกลนักโดยไม่ได้เติมน้ำมันรถ เธอจึงนำรถของเธอไปที่ปั๊มนั้นและขอให้เติมน้ำมันให้รถอย่างไม่เต็มใจนัก

พนักงานในปั๊มดูค่อนข้างน่ากลัวตอนที่เขากำลังเติมน้ำมันให้รถ และหลังจากเขาเติมเสร็จแล้วก็เดินมาที่ที่นั่งของคนขับเพื่อมารับเงิน หญิงคนนั้นให้เงินเขาไป 20 ดอลลาร์ ชายคนนั้นตรวจแบงค์อย่างรอบคอบก่อนที่จะบอกเธอไปว่านี่มันเป็นแบงค์ปลอม ตอนนี้เธอไม่รู้สึกถึงอันตรายแล้ว แต่เธอรู้ว่าเธออาจกำลังจะโดนหลอกเอาเงินเพิ่มจากพนักงานคนนี้ เขาอธิบายว่าเขาจะต้องพาเธอไปที่ทำงานของเขาและเรียกให้ผู้จัดการของเขามาเอาเรื่องเธอ เพราะว่าเรื่องแบงค์ปลอมนี้จะต้องไปแจ้งทางธนาคาร หลังจากที่พนักงานพาเธอออกมาจากรถแล้วนั้น เขาได้อธิบายว่าจริงๆแล้วเธอไม่ได้ให้แบงค์ปลอมเค้ามา ที่เค้าพาเธอออกมาจากรถก็เพราะว่าเขาเห็นชายถือขวานคนหนึ่งซ่อนอยู่เบาะหลังของรถเธอ...

6.The Wily Home Invader












หญิงคนหนึ่งได้อยู่ที่บ้านคนเดียวจนเธอได้ยินเสียงของผู้หญิงเคาะที่ประตูบ้านเธอและตะโกนขอเข้าไปในบ้าน เมื่อหญิงเจ้าของบ้านถามว่าเธอเป็นใคร หญิงนอกบ้านบอกว่าเธอถูกทำร้ายโดนชายคนหนึ่งและต้องการหลบไปยังที่ที่ปลอดภัย เมื่อหญิงเจ้าของบ้านฟังเสียงของหญิงคนนั้นดีๆ เธอพบว่ามันเป็นเสียงของผู้ชาย แต่ว่าแกล้งทำให้เสียงเหมือนกับผู้หญิง ผู้หญิงนอกบ้านได้ปิดช่องตาแมวไว้ไม่ให้หญิงเจ้าของบ้านเห็น ดังนั้นหญิงเจ้าของบ้านจึงแอบมองผ่านหน้าต่างข้างๆประตูหน้าบ้านนั้น เธอเห็นผู้หญิงคนนึงในเสื้อดำ และเธอได้ยินเสียงของผู้ชายกำลังพูดอยู่กับหญิงชุดดำคนนั้น จนในที่สุดพวกเขาทั้งสองคนก็เดินออกจากประตูบ้านไป ทิ้งปริศนาไว้ให้คิดอย่างน่าขนลุก ยากที่จะจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหญิงเจ้าของบ้านให้พวกเขาเข้ามาในบ้าน แต่มันต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ

5.The Lost Child












หญิงสาวคนหนึ่งเดินไปตามถนนในฤดูใบไม้ผลิวันหนึ่ง จนเธอได้เห็นเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างถนนแล้วร้องไห้ เธอตัดสินใจหยุดและเข้าไปถามเด็กน้อยคนนั้นว่าเป็นอะไรไป เด็กหญิงของนั้นบอกเธอว่าเธอหลงทาง เด็กคนนั้นสูดน้ำมูกก่อนจะขอร้องให้หญิงสาวคนนั้นช่วยพาเธอกลับบ้านที เธอตอบรับคำขอร้องของเด็กนั้นอย่างเต็มใจ โชคดีที่เด็กหญิงคนนี้รู้ที่อยู่ของเธอและพอจะจำทางไปบ้านของเธอได้นิดหน่อย จนในที่สุดทั้งคู่ก็ไปจนถึงบ้านของเด็กหญิงคนนั้นได้ เธอบอกกับหญิงสาวคนนั้นไปว่าเธอเตี้ยเกินที่จะเอื้อมมือไปกดออดประตูจึงขอให้เธอกดออดแทนเธอให้หน่อย

หญิงสาวคนนั้นกดกริ่งประตูโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ทันใดนั้นก็มีกระแสไฟฟ้าช็อตไปที่ตัวของเธอ ทำให้เธอสลบไป เธอตื่นขึ้นมาหลังจากหลายชั่วโมงผ่านไปพบว่าตัวเองอยู่ในร่างเปลือยเปล่าและเต็มไปด้วยถุงยางที่ถูกใช้แล้ว บ้านหลังนี้ว่างเปล่า คนที่ข่มขืนเธอได้หนีหายไปไกลแล้ว พร้อมกับเด็กหญิงที่เธอพามาที่บ้านหลังนี้ด้วย...

4.The Hitchhiking Old Woman












เรื่องเริ่มขึ้นโดยหญิงสาว (อีกแล้ว...) คนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้าในตอนดึกเพื่อเดินไปที่รถของเธอ ตอนที่เธอกำลังจะขึ้นรถนั้นเอง เธอสังเกตเห็นหญิงแก่คนหนึ่งยืนใกล้กับกระจกที่นั่งของผู้โดยสารรถเธอ และหญิงคนนั้นสังเกตเห็นอีกว่ากระจกบานนั้นได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ หญิงแก่ได้อธิบายว่าเธอเห็นกระจกรถเธอแตกเธอจึงมายืนเฝ้าเอาไว้ไม่ให้ใครมาขโมยของในรถ

หญิงสาวคนนั้นขอบคุณในความช่วยเหลือของหญิงแก่ หญิงแก่ได้บอกกับเธอว่าเธอได้พลาดรถเมล์เพราะว่ามัวแต่เฝ้ารถของเธอ เธอจึงยินดีที่จะไปส่งหญิงแก่ให้ถึงบ้าน อย่างไรก็ตามในขณะที่ทั้งคู่พูดคุยระหว่างทางกลับบ้านด้วยกันนั้นเอง หญิงสาวสังเกตเห็นหญิงแก่ดูมีขนเยอะเกินกว่าจะเป็นคนแก่ และมีแขนเหมือนกับผู้ชายมากกว่า เห็นดังนั้นเธอจีงรีบเหยียบเบรคทันทีอย่างรวดเร็ว หญิงแก่คนนั้นรีบวิ่งหนีออกไปจากรถอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ตำรวจค้นหารถเธอแล้วพบว่าหญิงแก่คนนั้นได้ซ่อนมีดและเชือกเอาไว้ที่เบาะด้านหลังรถของเธอ

 3. The Fat Vampire












  เรื่องราวของแวมไพร์ที่ดูดไขมันไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่ประการใด มันถูกเรียกกันว่า pishtacos และยังเป็นปีศาจในตำนานของเปรู โดยมันมักจะแอบตามเหยื่อตามทะเลทรายและใช้เวทมนตร์ของมันในการขโมยไขมันของนักเดินทางคนนั้น ตำนานของปีศาจตนนี้มีลักษณะคล้ายๆกับการจับกุมของสมาชิกแก๊งหนึ่งในเปรูได้ดักตีหัวนักเดินทาง จากนั้นพาพวกเขาไปที่ที่ซ่อนตัวของแก๊งนั้น และขุนนักเดินทางที่จับได้จนอ้วนแล้วนำไปขายในตลาดมืด คาดว่ามีนักเดินทางที่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งนี้ประมาณ 60 คน ก่อนที่จะถูกจับได้ในที่สุด

2.Don’t Open The Door












หญิงสาวคนหนึ่งได้อยู่จนถึงกลางคืน เนื่องจากทำงานและท้องเน็ตอยู่ในห้องนั่งเล่นของเธอ จู่ๆเธอได้ยินเสียงของเด็กร้องขึ้นมาจากข้างนอกบ้านเธอ เธอลุกขึ้นไปสำรวจเสียงนั้น แต่ก็ไม่เห็นอะไรผ่านรูกุญแจประตู และเธอคิดว่ามันแปลกที่จะมีเด็กมาร้องอยู่นอกบ้านที่อยู่ชานเมืองอย่างบ้านเธอ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางคืนแล้วด้วย เธอไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไร เธอจึงตัดสินใจเรียกตำรวจ เธอบอกตำรวจว่าเธอลองเปิดกระตูบ้านเธอเพื่อดูว่ามีเด็กอยู่แถวนี้หรือไม่ เพราะว่าเธอได้ยินเสียงเด็กร้องใกล้กับหน้าต่างบ้านเธอและเธอกลัวว่าเด็กนั้นจะคลานไปบนถนนและเกิดอันตรายได้

          หลังจากฟังที่เธอเล่า เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกกับเธอว่าเธอไม่ควรที่จะเปิดประตูบ้านไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น เพราะหลังจากที่ตำรวจได้เดินทางมาที่บ้านเธอนั้น ตำรวจไม่พบเด็กหรือหลักฐานใดๆว่ามีเด็กอยู่แถวนั้นเลย และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากเจ้าของบ้านหลายคนแล้วที่บอกว่าได้ยินเสียงเด็กร้องทำนองเดียวกันนี้ และตำรวจคิดว่ามันน่าจะเป็นพวกกลุ่มคนที่หลอกผู้หญิงให้เปิดประตูบ้านของพวกเธอ โดยใช้เสียงบันทึกของเด็กร้องล่อให้เธอเปิดประตูออกมา


1.The Scream Nobody Heard












ในมหาลัยบางแห่งนั้น จะมีประเพณีโดยการให้นักศึกษาที่อยู่ในหอพักมหาลัยนั้นปล่อยเสียงกรีดร้องลั่นของพวกเขาออกมาในเวลาที่กำหนด เนื่องจากเพื่อให้นักศึกษาปลดปล่อยความเครียด โดยเฉพาะช่วงโค้งสุดท้ายของการสอบ ในสัปดาห์สุดท้ายที่ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้มีกำหนดการให้ทุกๆคนในหอพักนั้นกรีดร้องตอนเที่ยงคืนเพื่อปลดปล่อยสิ่งที่กังวลใจออกมา และดังคาดเอาไว้ ทุกๆคนได้ทำพิธีการกรีดร้องกันทุกคน 
          พิธีกรรมได้เสร็จสิ้นไป เสียงได้เงียบลงและทุกๆคนก็ได้เข้าไปนอน จนเช้าวันต่อมาได้มีการพบว่าหนึ่งในเสียงกรีดร้องของเมื่อวานนั้นเป็นของจริง มีหญิงสาวคนหนึ่งได้ถูกข่มขืนในคืนก่อนหน้านั้น เวลาที่เธอถูกข่มขืนนั้นดันไปตรงกับพิธีกรรมการกรีดร้องนั้นพอดี ไม่มีใครได้ยินเสียงกรีดร้องของเธอ เพราะใครจะแยกเสียงกรีดร้องจริงออกจากเสียงกรีดร้องเป็นร้อยล่ะจริงมั้ย? ต่อจากนั้นเป็นต้นมาประเพณีการกรีดร้องก็ได้ถูกยกเลิกไปจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และใครก็ตามที่แหกกฏนั้นจะต้องถูกไล่ออกโดยไม่มีข้อยกเว้น

ปล. สำหรับใครที่นึกเสียงไม่ออกลองฟังจากที่เค้าเคยบันทึกก่อนหน้านั้นที่เคยมีพีธีดังกล่าวกันนะครับ สมมติว่าเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนนั้นอยู่ในคลิปนี้จริงๆคุณจะแยกออกรึเปล่า? ว่าเสียงไหนเป็นเสียงกรีดร้องของจริง?!



วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Gas Station

ผมทำงานกะกลางคืนที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในเมืองเล็กๆทางตะวันตกมาเกือบปีแล้ว บางครั้งผมก็ได้เจอกับคนแปลกๆบ้างแต่ว่าสัปดาห์ที่แล้วนั้นมีบางอย่างทำให้ผมขวัญผวาจนทำให้ผมอยากจะออกจากงานที่ผมทำอยู่

ประมาณตีสามในวันพฤุหัสนั้นมีหญิงแก่ๆคนหนึ่งมาใช้บริการ เธอสูงแต่หลังค่อม เธอสวมเสื้อ
หลวมและมีเสื้อตัวนอกทับอีกชั้นนึงยาวๆ พร้อมกับแว่นตาที่ใหญ่จนเจะบังหน้าเธอเกือบทั้งหมด เธอพูดกับผมว่าสวัสดี น้ำเสียงของเธอไม่เหมือนกับเสียงของหญิงแก่เลย เสียงนั้นทุ้มและดัง เธอมาที่เคาท์เตอร์ร้านและขอร้องให้ผมช่วยซ่อมรถของเธอ

มีบางอย่างที่ผมคิดว่ามันอันตรายจะเกิดขึ้น ผมจึงบอกกับเธอว่าผมไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากปั๊มแห่งนี้ในเวลากลางคืนแบบนี้ เธอค่อนข้างหงุดหงิด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเดินไปมาในปั๊มและเหลือบตามาดูผมหลายครั้งมาก บางครั้งเธอจะเดินไปข้างนอกแล้วชี้ไปที่อะไรบางอย่างพร้อมกับจ้องตาผม เหมือนกับว่าเธออยากให้ผมออกมาข้างนอกแล้วดูสิ่งที่เธอชี้ มีครั้งนึงเธอชี้ไปที่ห้องน้ำ ตอนที่เธอออกมาเธอบอกว่ากระดาษทิชชู่ในห้องน้ำมันหมดแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกถึงอันตรายอยู่ดี ความกลัวได้ถาโถมเข้าใส่ตัวผม ผมจะต้องไม่ออกจากปั๊มแห่งนี้เด็ดขาด ผมจึงยื่นม้วนกระดาษทิชชู่ให้เธอจากด้านหลังของเคาท์เตอร์นั้นแทน ครั้งนี้เธอดูเหมือนจะโกรธและโมโหมากๆด้วย

และเธอก็ยังคงเดินเตร็ดเตร่ไปมาอีกเหมือนเดิม ก่อนที่เธอจะขอร้องให้ผมไปซ่อมเครื่องชงกาแฟ แต่ก็เหมือนเดิม ผมบอกเธอไปอย่างสุภาพว่าผมออกไปข้างนอกปั๊มไม่ได้จริงๆ เธอบ่นพึมถึงการบริการของปั๊มที่ห่วยแตก และในที่สุดเธอก็ออกจากปั๊มแห่งนี้ไป

เมื่อหมดเวลางานของผมนั้นผมก็นั่งรถกลับบ้าน แต่ผมสังเกตเห็นกองผ้ากองนึงอยู่เหนือรั้วตาข่ายที่แยกห่างจากปั๊มไม่ไกลนัก ผมเดินออกจากรถและเดินเข้าไปดูชัดๆ สิ่งที่ผมเห็นคือเสื้อนั้นเป็นเสื้อตัวเดียวกับที่หญิงแก่คนนั้นสวม พร้อมกับแว่นตาใหญ่ๆอันนึงวางอยู่ด้านบน ผมรีบวิ่งกลับไปที่รถแล้วขับออกไปแบบไม่คิดชีวิต ผมยังคงรู้สึกคาใจจนถึงทุกวันนี้...

UPDATE:ผมยังคงทำงานที่ปั๊มนี้อยู่เหมือนเดิม ผมไม่ได้เจออะไรอีกเลยตั้งแต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้กลับมาหาผม อย่างไรก็ตามผมก็ได้ถามเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่ทำงานกะกลางคืนแบบผมว่าเห็นอะไรผิดปกติบ้างไหม เขาตอบผมว่า "ไม่นิ แต่ก็มีผู้หญิงคนนึงถามหาว่าผมจะกลับมาทำงานเมื่อไรอยู่เหมือนกัน" ผมก็ถามต่อถึงลักษณะผู้หญิงคนนั้น เขาบอกว่าเธอเป็นหญิงแก่ที่สวมแว่นตาใหญ่ๆ และเพื่อนร่วมงานผมคนนี้คิดว่าเธออาจจะเป็นคนรู้จักหรือคนในครอบครัวผมเพราะว่าเธอเรียกชื่อของผม ทั้งๆที่ผมยังไม่เคยบอกชื่อผมให้เธอเลย!! เขาบอกเวลาทำงานผมให้กับผู้หญิงคนนั้น ผมถามเขาต่อว่าเธอทำให้เขารู้สึกแปลกๆอะไรไปรึเปล่า เขาก็ตอบว่าไม่ แต่เขาเห็นว่าตอนที่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในปั๊มนั้น ประตูอัติโนมัติไม่ได้เปิดรับเธออยู่หลังจากเธอพยายามเข้ามาในปั๊มถึงสามครั้ง จนในที่สุดเธอต้องใช้มือของเธอเปิดประตูเข้ามาเอง...




Free wifi

เพื่อนๆของผมไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ผมบอกพวกเขาไปว่ามันมีสัญญาณ wireless แบบไม่ล็อกรหัส อยู่ในที่แห่งนี้ได้ มันชื่อว่า "wifi ฟรี" มันช้านิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้พวกเราได้มาตั้งแคมป์อยู่ในใจกลางป่าแห่งหนึ่ง พวกเราจอดรถของพวกเราห่างจากนี้ไปเป็นไมล์ใกล้กับรางรถไฟ จากตรงนั้นไปก็ใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีขับผ่านทางลาดไปขึ้นทางด่วนได้ พูดง่ายๆคือ ตอนนี้พวกเราได้หนีความเจริญศรีวิไลมาลองใช้ชีวิตในป่าดูนั่นแหละ

หลังจากพวกเราทุกคนได้เล่น facebook และตอบข้อความ  snapchats ผมและเพื่อนๆของผมก็นึกสนุกอยากจะหาที่มาของสัญญาณ wifi ว่ามันมาจากไหนกัน  พวกเราแบ่งเป็นสองกลุ่ม Marco และ Sean ไปหาสัญญาณกันทางนึง  Mike กับผมก็แยกกันไปอีกทางนึง สามนาทีหลังจากนี้พวกเราจะกลับมาที่จุดเดิม ขีดสัญญาณ wifi นั้นก็น้อยลงหลังจากที่ผมเดินมาจากจุดที่ผมเริ่มเดินประมาณ 185 ก้าว และมันก็เริ่มจะไม่มีสัญญาณหลังจากที่ผมก้าวไปประมาณ 250 ก้าว

พวกเราเห็นด้วยกับข้อเสนอของ Sean ว่าให้วางแผนในการหาที่มาของสัญญาณ wifi โดย  Marco จะเป็นคนเดินนับก้าว Mike จะคอยดูขีดสัญญาณ wifi ส่วน Sean และผมก็มองหาว่ามันมีใครแอบมาวางกล่องสัญญาณ wifi จากที่ไหนกัน

ประมาณก้าวที่ 100 นั้น Mike บอก Macro ให้หยุดเดิน เพราะสัญญาณ wifi มันขึ้นขีดเต็มแล้ว ผมจึงมองหาแสงไฟหรือว่ามีสายเคเบิลต่อกับอะไรอยู่หรือไม่ แต่ก็ไม่พบอะไร Marco คิดว่ามันคงเป็น พวก pocket wifi ที่คนที่เคยมาตั้งแคมป์ลืมทิ้งเอาไว้ (แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะว่าสัญญาณ 3G มันไม่น่าจะครอบครุมมาถึงที่กันดารแบบนี้)

พวกเรายกเลิกการค้นหาและเดินทางกลับไปที่จุดตั้งแคมป์ จากนั้นสัญญาณ wifi ก็ขาดหายไป

พระอาทิตย์ตกดินแล้ว เริ่มมีหมอกขึ้นมา มันให้ความรู้สึกหลอนนิดๆ พวกเราคิดว่าควรจะเตรียมจัดเก็บของให้เรียบร้อยเพื่อจะนำไปเก็บที่รถบรรทุก แต่เมื่อพวกเรากลับมาถึงแคมป์แล้วพวกเราก็สังเกตเห็นว่าพวกเราโดนขโมยเข้าแล้ว กระเป๋าของทุกๆคนถูกรื้อค้นฉีกขาด เสบียงอาหารไม่เหลือเลย และเต้นท์ของพวกเราก็ล้มลงมา

แต่ผมคิดว่ามันแปลกๆที่หัวขโมยมันไม่ได้ขโมย laptop หรือกล้องของพวกเราเลย พวกมันขโมยไปเพียงอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น พวกเราสัมผัสได้ถึงลางไม่ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอีกต่อไป พวกเรารีบยัดทุกๆอย่างใส่ลงไปในกระเป๋าที่ขาดแล้วให้เร็วที่สุด และรีบวิ่งขึ้นรถบรรทุก แต่ในขณะที่พวกเรายังไม่ถึงรถบรรทุกนั้นเอง Mike บอกพวกเราให้ลองเช็คโทรศัพท์ของพวกเราดู สัญญาณ wifi มันกลับมาขึ้นเต็มเหมือนเดิม! ผมรู้สึกเสียวไปจนถึงกระดูกสันหลังเมื่อได้เห็นชื่อของ wifi มันชื่อว่า : วิ่งสิ ไอ้หนู! วิ่ง!

The Smiling Man (Full Ver.)

ห้าปีที่แล้วตอนผมอาศัยอยู่ที่ใจกลางเมืองนิวยอร์ค ในตอนกลางคืนผมมักจะออกไปเดินเล่นข้างนอกและคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

ตลอดสี่ปีนั้นผมทำอย่างนั้นตลอด เดินคนเดียวในตอนกลางคืน และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้ผมต้องกลัว แต่แล้วมันก็มีเหตุการณ์นึงที่ทำให้ผมกลัวการเดินคนเดียวในตอนกลางคืนไปตลอดชีวิต

มันเป็นวันพุธ ประมาณช่วงตี 1-2 นั้นเอง ผมกำลังเดินอยู่ใกล้ๆกับรถตำรวจซึ่งจอดอยู่ไกลจากอพาร์ตเมนท์ผมพอสมควร มันช่างเป็นค่ำคืนที่เงียบสงบ แม้มันจะเป็นวันหยุดก็ตาม แต่ผมไม่ก็ไม่ค่อยเห็นรถราแล่นแล่นตามท้องถนนซักเท่าใด ยิ่งคนเดินนี่ไม่ต้องพูดถึง

ในขณะที่ผมกำลังจะเดินกลับไปที่อพาร์ตเมนท์ของผมนั้นเอง ผมสังเกตเห็นชายคนหนึ่ง อยู่ตรงสุดของถนน และอยู่ถนนฝั่งเดียวกับผม เป็นเงาของผู้ชายที่กำลังเต้นอยู่ เต้นแบบแปลกๆคล้ายๆกับการเต้นแบบวอลซ์ และแต่ละจังหวะที่เค้าเต้นเค้าก็จะเดินไปข้างหน้าแบบแปลกๆ หรือจะพูดให้ถูกคือเค้ากำลังเดินไปเต้นไปนั้นแหละ พร้อมกับหันหน้ามาหาผม

ผมคิดว่าเค้ากำลังเมาอยู่ ผมจึงลองเดินใกล้เข้าไปดู ยิ่งผมใกล้มากเท่าใด ผมก็ยิ่งสังเกตการเคลื่อนไหวของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น เค้าสูงและผอม และสวมเสื้อสูทตัวเก่าๆ เขายังคงเต้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนผมเห็นหน้าของเขา ตาของเขาเบิกกว้างและกว้างขึ้นเรื่อยๆ หัวของเขาเอียงไปทางด้านหลังเล็กน้อยแหงนมองไปบนท้องฟ้า ปากของเขาฉีกยิ้มกว้างเกินกว่าที่มนุษย์ปกติจะทำได้ด้วยความเจ็บปวด ระหว่างนั้นเอง

ผมรีบหันหน้าหนีแล้วตัดสินใจข้ามถนนหนีก่อนที่เขาจะเข้ามาใกล้ผมมากกว่านี้ ตอนที่ผมไปถึงอีกฝั่งของถนนแล้วนั้นเอง ผมก็เหลือบกลับไปมอง ผมหยุดชะงักด้วยความหวาดกลัว ชายคนนั้นได้หยุดเต้นและค้างท่ายืนขาเดียวอยู่บนถนนนั้น ยืนตรงข้ามกับผม หันหน้ามาทางผมแต่ยังคงแหงนมองที่ท้องฟ้าอยู่ รอยยิ้มยังคงกว้างอยู่อย่างนั้น

ผมตกใจอย่างมากและเริ่มเดินกลับตามปกติพร้อมมองไปที่ชายคนนั้นอยู่ตลอด เค้าไม่ได้ขยับไปไหน ผมเดินไปเรื่อยๆและหันกลับไปดูทางถนนข้างหน้าผม ที่ถนนและทางเดินมันว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่เลย และในตอนนั้นเองผมหันกลับไปมองหาผู้ชายคนนั้น ปรากฏว่าเขาได้หายไปแล้ว ในตอนนั้นผมรู้สึกโล่งออกมาก จนผมเห็นเขาอีกครั้งนึง เค้าได้ข้ามถนนมาอีกฝั่งและครั้งนี้เขาหมอบคลานมา หันมาหาผม ผมใช้เวลาหันกลับไปดูถนนไม่ถึงสิบวินาทีเลย ทำไมเขาเคลื่อนที่ได้รวดเร็วขนาดนี้

ผมช็อกและยืนค้างอยู่อย่างงั้น มองไปที่ชายคนนั้น และเค้าเริ่มเคลื่อนที่มาหาผมอีกครั้งนึง  เค้าวิ่งโดยเขย่งปลายเท้าและก้าวยาวมาก เหมือนกับตัวการ์ตูนที่กำลังสะกดรอยตามใครซักคนอยู่ เว้นแต่ว่าเค้าเคลื่อนที่มาเร็ว เร็วมาก ในวินาทีนั้นผมอยากจะวิ้งให้ไกลที่สุดหรือหยิบสเปรย์พริกไทยหรือมือถือ หรืออะไรซักอย่างที่จะช่วยผมได้ในตอนนั้น แต่ผมไม่ได้ทำ ผมทำได้เพียงแค่ยืนอยู่อย่างนั้นตัวแข็งตอนที่ชายคนนั้นมาใกล้ผมเรื่อยๆ

แต่จู่ๆเขาก็หยุดเคลื่อนไหว ห่างจากผมประมาณรถคันนึง ยังคงฉีกยิ้มและแหงนมองท้องฟ้า

จนในที่สุดผมก็ได้สติและกำลังคิดคำด่ามันอยู่ว่า "มึงต้องการอะไรจากกูวะ" ด้วยน้ำเสียงที่โกรธอย่างเต็มที่ แต่เมื่อผมพูดออกไปจริงๆนั้นผมทำได้เพียงแค่พูดว่า "มึงต้องกา...."

เคยมีคนบอกว่ามนุษย์เราได้กลิ่นความหวาดกลัว หรือแม้แต่ได้ยินด้วย ตอนนี้ผมได้ยินมันในหัว เพียงเท่านั้นก็ทำให้ผมกลัวมากขึ้นได้แล้ว เพียงแค่เห็นชายคนนั้นยืนอยู่นิ่งๆพร้อมกับฉีกยิ้ม

เวลาผ่านไปช้ามาก จนในที่สุดเขาก็หันหลังกลับไปอย่างช้าๆ และเริ่มเต้นไปเดินไปออกไปจากผม ผมไม่คิดจะเดินกลับไปหาเขาอีก ผมมองเค้าห่างจากผมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเค้าอยู่ไกลจนเกือบมองไม่เห็น จนผมสังเกตเห็นว่าเค้าไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนอีกแล้ว เขาเต้นอยู่กับที่ จนผมเห็นเงาของเขาเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขาวิ่งกลับมาหาผม!

ผมเห็นดังนั้น ผมจึงวิ่งหนีจากเขาสุดฝีเท้า

ผมวิ่งไปเรื่อยๆจนผมเห็นไฟถนนและรถวิ่งตามท้องถนน ผมมองหันกลับไป ผมไม่เห็นเขาอีกแล้ว ตลอดทางกลับอพาร์ตเมนท์ ผมก็เหลือบหันไปมองด้านหลังผมตลอดเวลาว่าจะเห็นชายคนนั้นอีกรึไม่ แต่ก็ไม่เห็นอีกแล้ว

ผมยังคงอยู่ที่เมืองนั้นต่ออีกหกเดือนหลังจากคืนนั้น ผมไม่กล้าที่จะไปเดินเล่นข้างนอกคนเดียวอีกเลย มันมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับหน้าของเขาที่ยังคงหลอนผมจนถึงทุกวันนี้ เขาไม่ได้ดูเหมือนคนเมาหรือขาดสติ หน้าของเขาดูเหมือนกับคนที่บ้าคลั่งอย่างเต็มพิกัด นั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ผมเคยเห็นมาในชีวิตผม...

Timekeeper

เขาได้รับนาฬิกาเป็นของขวัญครบรอบสิบขวบ มันเป็นนาฬิกาข้อมือสีเทาธรรมดาๆเหมือนนาฬิกาทั่วไป เว้นแต่ว่ามันเป็นนาฬิกานับถอยหลัง "มันจะบอกเวลาที่เหลืออยู่ที่เธอจะอยู่บนโลกนี้ไอ้หนู ใช้มันให้ดี" หลังจากนั้นเป็นต้นมา นาฬิกายังคงเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ จากเด็กชายเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า เขาปีนขึ้นภูเขาและว่ายน้ำกลางมหาสมุทร เขาพูดคุย หัวเราะ มีชีวิตอยู่และมีความรัก ชายคนนี้ไม่เกรงกลัวสิ่งใด เพราะเขารู้ดีว่าเขาเหลือเวลาอีกเท่าไรบนโลกใบนี้

ในที่สุด นาฬิกาเรือนนี้ก็ได้เริ่มถอยหลังครั้งสุดท้าย ชายแก่ผู้นี้ก็ได้มองดูสิ่งที่เขาทำมาเองกับมือตลอดชีวิตที่เขาได้ผ่านมา 5. เขาจับมือกับเพื่อนที่เป็นนักธุรกิจด้วยกัน เป็นเพื่อนที่เขาสนิทและไว้ใจมากที่่สุด 4. สุนัขของเขาวิ่งมาที่เขาและเลียมือเขา ชายคนนั้นลูบหัวสุนัขตัวนั้นเป็นการบอกลา 3.เขากอดลูกชายของเขา ให้รู้ว่าเขาเป็นพ่อที่ดีของลูก 2.เขาจูบภรรยาของเขากลางหน้าผากเป็นครั้งสุดท้าย 1. ชายแก่ผู้นี้ยิ้มและปิดตาของเขาลง

แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นาฬิกาเพียงแค่ส่งเสียงเตือนก่อนจะปิดลง ชายผู้นั้นยังคงยืนอยู่อย่างนั้น มีชีวิตอยู่เหมือนเดิม คุณอาจจะคิดว่า ณ ช่วงเวลานั้นเขาคงจะมีความสุขที่สุดในชีวิต แต่กลับกัน มันกลับเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา ที่รู้สึกหวาดกลัว

สำหรับคนที่ไม่เข้าใจความหมายนะครับ คือว่าชายคนนี้เค้าใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าเพราะไม่กลัวความตายเพราะมีนาฬิกาบอกว่าเค้าเหลือชีวิตอีกนานเท่าไร แต่หลังจากนาฬิกาปิดลงแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าความตายมันจะมาถึงเมื่อไร เขาก็เลยกลัว ประมาณว่าหลังจากที่นาฬิกานี้ปิดลง ความตายอาจจะมาถึงชายแก่ผู้นี้ตอนไหนก็ได้นั่นเอง

Dead Bart

มันมีตอนตอนนึงที่หายไปจากโชว์ The Simpsons ซีซั่นที่ 1

การจะหาข้อมูลเกี่ยวกับตอนที่หายไปตอนนี้ยากพอสมควร ไม่มีใครที่ทำงานเกี่ยวข้องกับโชว์เรื่องนี้ในตอนนั้นมากพอที่จะพามาคุยได้ จากที่ได้ปะติดปะต่อเรื่องราวกัน ตอนที่หายไปตอนนี้ถูกเขียนขึ้นโดย Matt Groeing ระหว่างการผลิตซีซั่นที่ 1 ของ Simpsons Matt เริ่มทำตัวแปลกประหลาดไป เขากลายเป็นคนเงียบขรึม ดูไม่ปกติแถมยังหงุดหงิดง่าย ถ้าคุณไปหาใครก็ตามในตอนนี้ที่มีความเกี่ยวข้องกับ Matt แล้วถามเกี่ยวกับตัวเขาเขาจะโกรธมาก แล้วห้ามไม่ให้คุณไปยุ่งกับ Matt ครั้งแรกที่ผมได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นเป็นตอนที่ David Silverman กำลังพูดแนะนำโชว์ The Simpsons อยู่ จู่ๆมีคนยกมือถามเขาเกี่ยวกับตอนของโชว์ดังกล่าว Silverman กลับเดินลงจากเวลาทันทีทันใด จบการแนะนำโชว์เร็วกว่ากำหนดหนึ่งชั่วโมง รหัสของตอนที่หายไปคือรหัส 7G06 ชื่อตอนว่า Dead Bart (บาร์ตตายแล้ว) มีป้ายเขียนกำกับว่า 7G06 Moaning Lisaได้แปะป้ายดังกล่าวในภายหลังพร้อมเขียนรหัสของตอนเอาไว้เพื่อซ่อนไม่ให้คนรุ่นหลังรู้

แล้วถ้าคุณไปถามใครก็ตามที่เกี่ยวกับโชว์ตอนนี้ จะทำให้เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะหยุดคุณไม่ให้ไปยุ่งกับ Matt Groening ให้ได้ ในงานสำหรับแฟนๆของ The Simpsons ผมได้เดินตามเขาไปหลังจากที่เขาพูดต่อสาธารณชนเสร็จ จนในที่สุดก็ได้มีโอกาสคุยกับเขาสองต่อสองในขณะที่เขากำลังจะออกจากตัวตึก เขาไม่ได้โกรธที่ผมแอบตามเขามา เขาอาจจะคิดล่วงหน้าว่าจะต้องเจอแฟนๆที่เป็นพวก
สตอล์กเกอร์อยู่แล้ว จนผมเริ่มเข้าเรื่องถามเขาเกี่ยวกับตอนที่หายไปของ The Simpsons จู่ๆหน้าของเขาก็ซีดแล้วตัวเขาก็สั่น แล้วผมก็ถามเขาว่าพอจะมีข้อมูลอะไรที่จะบอกผมได้ไหม เสียงของเขาก็ดูตะกุกตะกักเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง เขาหยิบเศษกระดาษมาหนึ่งชิ้น เขียนบางอย่างลงไปในนั้น แล้วส่งมาที่ผม ก่อนจะจากกันเขาขอร้องไม่ได้ผมสนใจกับเรื่องนี้มากนัก

กระดาษที่ Matt ยื่นมาให้ผมมันเป็นที่อยู่ของเว็บไซต์หนึ่ง ผมขอไม่บอกชื่อเว็บละกัน เพราะคุณจะได้เห็นต่อจากนี้เอง ผมก็พิมพ์ชื่อเว็บตามกระดาษลงไปในเว็บเบราเซอร์ของผม เว็บดังกล่าวดำเกือบทั้งหมด ยกเว้นมันมีตัวอักษรเหลืองอยู่บรรทัดหนึ่ง มันเป็นลิงค์ดาวน์โหลด ผมคลิกไปที่มัน แล้วไฟล์ก็เริ่มดาวน์โหลด ในขณะที่มันดาวน์โหลดอยู่นั่นเอง คอมของผมก็เหมือนจะโดนไวรัส มันเป็นไวรัสที่เลวร้ายที่สุดที่ผมเคยพบมา System restore ทำงานไม่ได้ คอมถูกรีสตาร์ดใหม่ แต่ก่อนที่มันจะเป็นแบบนี้ ผมได้ copy ไฟล์ลงในซีดีแล้ว ผมพยายามที่จะเปิดมันลงบนคอมอีกเครื่องหนึ่งของผม แล้วก็เป็นดังคาด มันเป็นตอนๆหนึ่งของโชว์ The 
Simpsons นั่นเอง

ตอนดังกล่าวเริ่มเรื่องขึ้นปกติเหมือนกับตอนอื่นๆ แต่ดูเหมือนภาพการ์ตูนดูแตกๆ มีคลื่นสั่นไปมา ตอนแรกทุกอย่างดูปกติ แต่สิ่งที่ตัวละครแต่ละตัวกระทำดูแตกต่างออกไปทีละนิด Homerดูดุกว่าเดิมMarge ดู
หดหู่ Lisaดูกระวนกระวาย Bart เหมือนโกรธอะไรบางอย่างแล้วก็โมโหพ่อแม่ของตัวเองด้วย

ตอนดังกล่าวเกี่ยวกับครอบครัว Simpsons กำลังจะไปเที่ยวโดยสารเครื่องบิน ก่อนที่จะจบฉากแรกของตอน เครื่องบินได้บินขึ้น Bart ดูปกติเหมือนๆกับทุกตอน จนกระทั่งเครื่องบินห่างจากพื้นดินประมาณ 
50 ฟุต Bartก็ทุบหน้าต่างเครื่องบินแล้วกระโดดลงมาตาย

ในตอนแรกเริ่มของ The Simpsons นั่น Matt มีความคิดว่าจะให้การ์ตูน Simpsons เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับโลกหลังความตาย แล้วความตายทำให้ทุกอย่างดูสมจริงขึ้น ความคิดของ Matt นั้นถูกมาใช้ในตอนดังกล่าว ภาพศพของ Bart มองไม่ชัดเจนเท่าไร ภาพต่อมาที่เห็นคือเป็นภาพวาด Drawingเกือบสมจริงเป็นภาพศพของ Bart

ฉากแรกจบไปด้วยภาพศพของ Bart ฉากที่สองเริ่มต้นขึ้น Homer Marge และ Lisa นั่งอยู่บนโต๊ะ ร้องไห้ ร้องไห้แล้วร้องไห้อีก เสียงเริ่มรุนแรงและสมจริงขึ้น เหมือนกับเสียงร้องไห้ที่โศกเศร้าจริงๆ ยิ่งร้องไห้เท่าไร ภาพการ์ตูนก็ยิ่งดูเรือนรางไป และถ้าฟังดีๆจะได้ยินเสียงพึมพัมอยู่ด้วย ภาพต่อมาคือทุกคนจะกอดกัน แต่จู่ภาพก็ขยายยืดขึ้นและดูมืดมัว พวกเขาดูเหมือนกับร่างเงาที่มีสีสะเปะสะปะละเลงอยู่ที่ตัวของพวกเขา

ภาพฉายมาที่หน้าของพวกเขาทุกคนมองไปที่หน้าต่าง ซูมเข้าไปมาจนดูไม่ออกว่าตอนนี้พวกเขาดูเหมือนกับอะไรไปแล้ว

เสียงร้องไห้ยังคงดังอยู่ตลอดในฉากที่สอง

ฉากที่สามเริ่มต้นขึ้นโดยมีข้อความเขียนไว้ว่า หนึ่งปีผ่านไป Homer Marge และ Lisa ดูผอมเหลือแต่กระดูก ยังคงนั่งอยู่บนโต๊ะ ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไม่มี Maggie หรือสัตว์เลี้ยงอยู่ในตอนดังกล่าว

พวกเขาตัดสินใจไปเยี่ยมหลุมศพ Bart เมืองSpringfield เป็นทะเลทรายทั้งเมือง เมื่อพวกเขาเดินไปที่สุสาน บ้านของพวกเขาก็พังทลายลงแล้วหายไป ตอนนี้พวกเขาไม่มีบ้านแล้ว เมื่อไปถึงหลุมศพ ร่างของ Bartนอนแผ่อยู่หน้าหลุดศพ ดูเหมือนกับฉากแรกทุกประการ

ทุกคนเริ่มร้องไห้อีกครั้ง จนพวกเขาหยุดร้องไห้แล้วมองไปที่ร่าง Bart กล้องซูมไปที่หน้า Homer เท่าที่ผมเห็น Homer ได้พูดอะไรซักอย่าง แต่ตอนที่ผมดูมันไม่มีเสียง ผมเลยบอกไม่ได้ว่า Homer พูดอะไรออกมา

กล้องซูมออกมาเหมือนกับว่าตอนจะจบแล้ว หลุมศพที่เป็นพื้นหลังของฉากสลักชื่อของแขกรับเชิญที่เคยมารายการ The Simpsons บางคนผมก็ไม่เคยได้ยินชือมาก่อน บางคนก็ยังไม่เคยจะมาทีรายการนี้ด้วยซ้ำ 
ที่ป้ายของสุสานระบุวันตายของทุกคนเอาไว้สำหรับแขกรับเชิญที่ได้ตายไปแล้ว อย่างMichael Jackson และ George Harrison วันเวลาตายตรงกับที่ทั้งสองคนตายจริงๆ ตัดมาที่ฉาก Credit ซึ่งไม่มีเสียงอะไรเลย ตัวอักษรเหมือนเป็นลายมือเขียน ภาพสุดท้ายก่อนจะจบตอนคือภาพครอบครัว Simpsons นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยกัน เหมือนกับที่คุณเคยเห็นส่วนใหญ่ แต่ภาพนี้ดูสมจริงขึ้นกว่ามาก และยังมีศพของ Bart มานั่งที่เก้าอี้
ดังกล่าวอีกด้วย

ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมหลังจากดูตอนนี้จบเป็นรั้งแรกนั้น ผมน่าจะลองดูที่หลุมศพให้ดีแล้วดูวันตายของแขกรับเชิญแต่ละคนที่เคยมาที่รายการ The Simpsons แต่มีบางสิ่งที่แปลกออกไปคือราย
ชื่อของหลุมศพของดาราที่ยังไม่ได้เสียชีวิตนั้น

วันเวลาตายของพวกเขาเป็นวันเวลาเดียวกัน...

ส่วนคลิบตอนดังกล่าวมีอยู่จริงๆ ลองหาดูใน YouTube นะครับผมลง Video ไม่เป็น

Herobrine

เมื่อเร็วๆนี้เองผมได้เล่นโหมด Single-player ในเกม Minecraft ในตอนแรกนั้นทุกๆอย่างดูปกติดี ผมเริ่มตัดต้นไม้แล้วก็คราฟไอเทมตามปกติ จนผมสังเกตเห็นบางสิ่งไกลๆตัวผม เคลื่อนที่ผ่านหมอกที่หนาแน่นไป (คอมพิวเตอร์ของผมช้ามาก ผมจึงปรับให้เกมแสดงผลแค่ระยะใกล้เท่านั้น) ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นวัวก็ได้ ผมจึงไล่ตามมันไป

แต่ว่ามันไม่ใช่วัว มันเป็นตัวละครที่หน้าตาเหมือนกับผมมองมาที่ตัวของผม แต่ว่าลูกตาของเขาว่างเปล่า ไม่มีชื่อปรากฏอยู่ข้างบนตัวละคร ผมจึงตรวจสอบให้แน่ใจว่าผมไม่ได้เล่นอยู่ในโหมด Multiplayer เขาไม่ได้ยืนอยู่ที่นั่นนานนัก เขามองมาที่ผมแล้วก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วในกลุ่มหมอกควันที่หนาแน่นนั้น ผมรีบไล่ตามเขาไป แต่ก็หาเขาไม่เจอ

ผมจึงเล่นเกมต่อไป คิดไม่ออกว่าต้องทำอะไร ในระหว่างที่ผมเดินไปเรื่อยๆนั่นเองผมเห็น สิ่งที่ผมไม่ได้สร้างขึ้นมา มันมีพีระมิดอันเล็กแต่สวยงามสร้างจากทรายอยู่กลางแม่น้ำ แล้วก็ต้นไม้ที่ใบของมันถูกตัดออกไปหมด ผมคิดว่าผมเจอ "ผู้เล่นที่ไม่ได้รับเชิญ" อยู่ในกลุ่มหมอกควันนั้น แต่ผมมองเห็นเขาไม่ชัด ผมพยายามปรับการแสดงผลของเกมให้มีระยะไกลขึ้น แต่ก็ยังไม่เห็นเขาเช่นเดิม

ผมกด save ออกจากเกมแล้วไปดูบอร์ดสนทนาหาว่ามีใครที่พบเจอกับเหตุการณ์เดียวกับผมหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครเลย ผมจึงตั้งกระทู้แล้วเล่าเรื่องราวที่ผมประสบมา แล้วถามว่ามีใครที่เจอเหตุการณ์แบบผมมั่งรึเปล่า แต่กระทู้ของผมก็ถูกลบจากบอร์ดไปภายในห้านาทีหลังจากที่ผมตั้ง ผมพยายามอีกครั้งนึง แต่กระทู้ของผมก็ถูกลบเร็วกว่าเดิม ผมได้รับ PM (ข้อความส่วนตัว) มาจาก login ที่ใช้ชื่อว่า "Herobrine"ในข้อความนั้นเขาเขียนไว้เพียงว่า "หยุด" เมื่อผมลองคลิกเข้าไปดูโปรไฟล์ของ Herobrine แต่มันก็ขึ้น error 404

ผมได้รับเมล์มาจาก user อื่นๆในบอร์ดนั้น เขาบอกกับผมว่าเจ้าของบอร์ดสามารถอ่านข้อความส่วนตัวของ user ทุกคนได้ ดังนั้นเขาจึงส่งข้อความของผมผ่านทาง email จึงปลอดภัยกว่า ในเมล์นั้นเข้าได้บอกกับผมว่าเขาได้เห็นผู้เล่นลึกลับคนนั้นเหมือนกัน จากนั้นผมก็เห็นข้อความคล้ายๆกันนี้กับ userอื่นๆที่เห็นตัวเขาเช่นกัน ทุกข้อความได้อธิบายให้เห็นว่าได้พบกับผู้เล่นปริศนาคนนั้นอย่างชัดเจน แล้วทุกคนก็ได้เห็นทุกอย่างที่เหมือนกันคือ ตาของเขานั้นสีขาวโพลน

หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนจนกระทั่งผมได้รับข่าวว่า บางคนที่ได้พบกับผู้เล่นปริศนาที่ชื่อว่า Herobrine นั้นชื่อนี้ ผู้เล่นอาจจะเป็นชาวสวีเดน หลังจากได้รับข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติ่ม ในที่สุดเรื่องราวก็ถูกเปิดเผยซึ่งที่จริงแล้วผู้เล่นคนนั้นก็คือน้องชายของ Notch (ผู้สร้างเกม Minecraft) นั่นเอง ผมจึงส่งเมล์ไปหาเขา ถามว่าจริงๆแล้วเขามีน้องชายใช่มั้ย ไม่กี่นาทีต่อมา เขาส่งเมล์กลับมาหาผมเป็นข้อความสั้นๆว่า

"ใช่ผมมี แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่กับพวกเราแล้ว" -Notch

หลังจากเหตุการณ์นั้นผมก็ไม่ได้เห็น Herobrine อีกเลย ผมไม่ได้เห็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปใน world ของผมนอกจากสิ่งที่ผมสร้างเอง แต่ผมได้กด print screen ไว้แล้วในตอนแรกที่ได้พบ Herobrine และนั้นก็เป็นหลักฐานเดียวถึงการมีอยู่ของเขา

จริงๆแล้ว pasta นี้เป็นแค่โจ๊กขำๆของตา Notch เขาเท่านั้นครับ เนื่องจากหลังจาก Patch 1.8 ก็ได้มีการอัพเดท หนึ่งในนั้นได้เขียนไว้ว่า "ทำการลบ Herobrine" แต่ในช่วงแรกๆนั้นก็สร้างความสยองขวัญให้กับผู้เล่น Minecraft เป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว


วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

The Basement

เมื่อตอนฉันยังเด็ก ฉันมักจะอยู่กับยายของฉัน แม่หย่ากับพ่อฉันตั้งแต่เด็กๆแล้วก็แต่งงานใหม่หลังจาก
นั้นไม่นาน ยายของฉันเปลี่ยนโรงรถเป็นที่สำหรับอาศัยของแม่และสามีใหม่ของแม่ฉันจนกว่าเขาทั้งคู่จะหาบ้านใหม่ได้ ซึ่งห้องนั้นไม่มีที่พอจะให้ฉันอยู่ ฉันจึงต้องมาอยู่ที่บ้านยายฉัน เมื่อแม่และพ่อใหม่ของฉันมีเงินพอทีจะซื้อบ้านหลังใหม่ได้ แต่ว่าฉันอาศัยกับยายมานาน เพื่อนบ้านของฉันที่อยู่แถวบ้านยายก็มีอยู่เหมือนกัน ดังนั้นฉันจึงขอไม่ไปบ้านใหม่กับพ่อแม่ของฉัน ฉันตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนที่เหลืออยู่ที่บ้านของยายฉัน

ฉันย้ายมาบ้านนี้ไม่นานแถมมีเพื่อนบ้านแล้วด้วย แต่ฉันต้องย้ายไปบ้านอื่นอีกครั้งแต่ว่าครั้งนี้น่าฉันจะได้อยู่กับแม่ของฉันซักทีพร้อมกับทำความรู้จักพ่อใหม่ของฉันให้มากขึ้นกว่าเดิม ก่อนหน้านั้นฉันได้วางแผนกับภรรยาว่าจะแต่งงานกันเมื่อตอนที่พวกเราเก็บเงินมากพอที่จะใช้สำหรับงานแต่งงาน มันใช้เวลาไม่นานนักหรอก เราวางแผนไว้ว่ามันจะดีถ้าพวกเรากลับไปอยู่กับพ่อแม่ของตัวเองก่อนแล้วฉันและภรรยาจะได้ช่วยกันเก็บเงินเอาไว้ใช้เผื่อสำหรับค่าเทอมของลูกในอนาคตอีกด้วย

น้องสาวของฉันได้ย้ายไปอยู่หอที่วิทยาลัยดังนั้นฉันจึงอาศัยที่ห้องนอนเก่าของเธอได้ ที่ชั้นใต้ดิน ห้องใต้ดินนั้นค่อนข้างเป็นระเบียบ คุณสามารถเดินลงไปและเปิดทางบันไดจากชั้นบนซึ่งอยู่ด้านขวาของประตูที่จะนำไปสู่ห้องใต้ดิน ทางด้านขวาเป็นประตูที่จะนำไปที่ห้องซักรีดพร้อมห้องน้ำ ทางด้านซ้ายเป็นห้องนั่งเล่นแล้วมีบาร์ขนาดย่อมๆที่พ่อใหม่ของฉันได้สร้างขึ้นมา นับว่าห้องของผมทำเลดีทีเดียว

ฉันนำสัมภาระมาไว้ที่ห้องเมื่อคืนวันศุกร์ ฉันประทับใจมากที่สามารถย้ายเข้ามาอยู่ได้ภายในวันเดียว เมื่อหัวถึงเตียงฉันก็หลับทันทีอย่างรวดเร็ว วันต่อมา ในตอนบ่ายๆฉันลงไปบันไดข้างล่างไปห้องของฉันแล้วกะจะไปเล่นวีดีโอเกมส์ แต่เมื่อฉันหยุดที่ทางเข้าบันไดใต้ดิน ฉันมองไปด้านซ้ายที่บาร์ขนาดย่อมของพ่อฉัน มันมีพื้นที่ว่างที่มีเก้าอี้โยกอยู่ ห้องนั้นมีไฟสลัวๆจากแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านมาทางประตู เก้าอี้โยกนั้นไม่ได้ขยับแต่อย่างใด ฉันมีความรู้สึกประหลาดใจว่ามันมีบางสิ่งอยู่ตรงนั้น ฉันไม่ได้รู้สึกเหมือนกับว่ามีบางสิ่งจ้องมองฉันอยู่ แต่ฉันรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างในห้องนั้น ฉันไม่ชอบมันเลย ฉันเดินผ่านไปที่ห้องซักรีดแล้วเข้าไปที่ห้องฉันแล้วปิดประตู ฉันคิดว่าฉันคิดไปเอง ฉันจึงเล่นวีดีโอแล้วลืมเรื่องนี้ไปซะ

ประมาณตี 1 ฉันตัดสินใจที่จะไปนอน พ่อแม่ของฉันมักจะตื่นอยู่ตลอดจนถึงตี 3 ถึงตี 4 ฉันจึงได้ยินเสียงพวกเขาคลิกเมาส์เล่นโน้ตบุคเล่นเกมด้วยกันสองคนทั้งคืน เมื่อฉันเดินตรงไปที่ห้องน้ำข้างนอกห้องนอนของฉันเพื่อที่จะแปรงฟัน แม่ของฉันเขียนโน้ตไว้ว่าแสงแดดตอนเช้านั้นดีนะลูก การที่จะตื่นในตอนเช้าเมื่อประตูห้องซักรีดและประตูห้องของฉันปิด ทำให้แสงอาทิตย์นั้ส่องมาไม่ถึงห้องนอนของฉัน เมื่อเห็นดังนั้น ฉันจึงเปิดประตูห้องซักรีดค้างไว้ เมื่อฉันเดินผ่านห้องประตูซักรีดที่จะนำทางไปที่ห้องนั่งเล่น ฉันสัมผัสพลังงานบางอย่างได้อีกแล้ว แต่ครั้งนี้มันรุนแรงกว่าแต่เก่า ฉันรู้สึกขนลุกที่ด้านหลังคอฉัน ฉันรีบเดินไปที่ห้องน้ำแล้วปิดประตู ฉันเสร็จธุระในห้องน้ำแล้วรีบดิ่งไปที่ห้องนอนของฉันที่อยู่ห่างไปไม่กี่ฟุต

ฉันปิดประตูห้องนอนของฉันและคิดว่าปิดประตูห้องของฉันจะดีกว่า ยังไงฉันก็ไม่ชอบตื่นตอนเช้าอยู่แล้ว แต่ฉันยิ่งจะไม่กล้าตื่นเลยถ้าห้องนอนยังคงมืดสนิทเนื่องจากประตูห้องนอนฉันปิดบังแสงอาทิตย์ที่จะสาดส่องมาถึง ฉันจึงทุบประตูให้แตก ไม่กว้างมาก แต่ก็กว้างพอที่จะให้แสงแดดส่องมาถึงในตอนเช้า เปิดพัดลมของฉันพัดเบาๆแล้วคลานกลับไปที่นอนฉัน ฉันดูเหมือนคนหวาดระแวงยังไงไม่รู้ ฉันจึงทำให้แน่ใจว่าเตียงนอนของฉันหันหน้าเข้าประตู ฉันจะได้เห็นว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลมาที่ประตูรึเปล่า

ฉันปิดตาแล้วพยายามที่จะนอน แต่ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น ฉันสัมผัสมันได้อีกแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนกำลังโดนจ้องมองอยู่ ประตูห้องนอนฉันมันเปิดห่างออกไป มันอาจจะเกิดจากพัดลมพัดก็ได้ ฉันคิดอย่างงั้น แต่มันก็ไม่น่าจะง่ายอย่างนั้น ฉันเปิดตาอย่างช้าๆ ฉันยังคงมองไม่เห็นอะไรในความมืดมิดอย่างงี้

ฉันสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างอีกแล้ว แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกเหมือนการถูกจ้องมอง แต่มันเป็นบางคนหรือบางสิ่งที่แข็งแกร่งอย่างมาก อยู่ตรงทางประตูของฉัน ฉันปิดตาของฉันอีกครั้งแล้วพยายามสงบสติอารม์ ฉันมันโง่เง่าเองละมั้ง ฉันคิดกับตัวเอง แต่ก่อนฉันไม่ได้กลัวความมืดเลย ทำไมตอนนี้ฉันกลับกลัวมันล่ะ ?

เมื่อฉันพยายามสะกดตัวเองให้นอนหลับให้ได้ ฉันปิดตาตัวเองให้สนิท หวังว่ามันเป็นเพียงแค่ฝันไป มีบางสิ่งที่ไร้รูปร่างกำลังคลานมาที่ห้องฉันอย่างช้าๆเคลื่อนตัวมันเองผ่านห้องมาที่เตียงฉัน สิ่งนั้นหยุดอยู่กับที่เป็นเวลานาน ขณะที่ตัวฉันเองพยายามอยู่นิ่งที่สุด กลัวมันจะเห็นฉัน หลังจากนั้นเจ้าสิ่งนั้นมันก็เริ่มขยับห่างออกจากเตียงฉันไป

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกๆคืนฉันมักจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่จ้องมองฉันจากนอกประตู มักจะเข้ามาที่ห้องฉันแล้วเดินไปมาที่ห้องนอนของฉัน แต่มันไม่เคยเข้ามาใกล้ฉันเลย ฉันไม่เคยเปิดตาเลยซักครั้งเมื่อฉันสัมผัสถึงอะไรก็ตาม นี่มันก็ผานมาแปดเดือนแล้ว ฉันก็เริ่มเหนื่อยกับเรื่องนี้ ฉันเหนื่อยกับความรู้สึกเหมือนมีอะไรจ้องมองฉันอยู่ตลอดเวลา ฉันคิดว่าพอกันทีถึงแม้ฉันจะกังวลเรื่องที่ฉันจะนอนหลับเกินเวลาตอนที่ไม่มีแสงอาทิตย์ส่องมาช่วยให่ฉันตื่นในตอนเช้า ฉันจึงปิดประตูของฉันตอนกลางคืนไม่ให้มีแสงอะไรเข้ามา ฉันยังคงนอนท่าเดิม หลังชิดผนัง เผื่อเอาไว้ก่อน ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นมันดูเหมือนว่าฉันรู้สึกถึงการมีตัวตนบางอย่างอีกครั้งแต่ว่ามันอยู่แค่หน้าประตูแล้วรออยู่ที่ห้องซักรีด ไม่เข้ามาที่ห้องนอนของฉัน

ฉันรู้สึกปลอดภัยนิดหน่อยที่มันจะมองไม่เห็นตัวฉันอีกแล้ว แต่ฉันก็ยังกลัวความจริงที่ว่ามันยังคงรอฉันอยู่หน้าห้อง คืนต่อมาฉันตัดสินใจที่จะปิดประตูห้องซักรีดไปด้วย มันไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก คืนนั้นฉันก็ยังสัมผัสถึงการมีตัวตนอยู่ที่ห้องนั่งเล่น แต่ว่าความรู้สึกมันจางๆลงจนทำให้ฉันนอนหลับสบายขึ้นเยอะเลย

ตั้งแต่ที่ฉันปิดประตูสองห้องนั้นในตอนกลางคืน ฉันก็ไม่ได้ตื่้นตรงเวลาอีกต่อไป บางทีฉันมักจะไปทำงานสายเป็นชั่วโมง ฉันจึงตัดสินใจซื้อโคมไฟแขวนหน้าประตูพร้อมตัวตั้งเวลา มันได้ผลอยู่ประมาณสัปดาห์แต่มันก็ใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะว่าไม่ว่าฉันจะตั้งเวลาให้มันถูกต้องเท่าไรก็ตาม เช้าต่อมาเวลาปลุกมันมักจะเร็วเกินไป หรือสายเกินไป ฉันจึงคิดว่ามันคงถึงเวลาที่จะทำตัวให้สมเป็นชายหน่อยแล้ว ฉันกลับมาเปิดประตูสองประตูนั้น แล้วให้แสงอาทิตย์ปลุกให้ฉันตื่นดังเดิม

หลังจากที่ฉันกลับมาเปิดประตูได้ไม่นอน สิ่งนั้นมันได้กลับมาอีกแล้ว ฉันรู้สึกว่ามันแข็งแกร่งกว่าเดิม เหมือนกับว่ามันโกรธที่ฉันไปปิดประตูห้องฉัน อย่างไรก็ตามสิ่งนั้นยังไม่เข้ามาที่เตียงนอนของฉัน ฉันจึงพยายามข่มตาให้หลับในแต่ละคืน ทำเป็นว่าสิงนั้นมันไม่มีตัวตน ฉันทำอย่างงี้ทุกวันไม่ได้ ฉันจึงปิดประตูเฉพาะวัน เสาร์ อาทิตย์ ให้ฉันมีเวลาที่จะหลับอย่างสบายบ้าง

แน่นอนว่าเจ้าสิ่งนั้นมันไม่สนุกไปกับการตัดสินใจของฉันแน่ สองสามสัปดาห์ของการปิดประตูในช่วงสุดสัปดาห์ สิ่งหนึ่งที่ฉันไม่อยากให้เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจนได้ สิ่งนั้นมันได้เริ่มเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เตียงฉันขึ้นทุกวัน มันเป็นคืนวันอังคารเมื่อมันเริ่มต้น มันขยับ เข้ามาทีละนิด จากมุมห้องจนมาถึงกลางห้อง สองสามคืนถัดมา มันค้างอยู่กลางห้องแล้วหยุดขยับ สุดสัปดาห์นั้นค่อนข้างจะสงบ ฉันไม่ค่อยรู้สึกว่ามันจะขยับอยู่ที่ห้องนั่งเล่นเลยตลอดสุดสัปดาห์นั้น แต่เมื่อวันอาทิตย์มาถึง ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป

เมื่อฉันเริ่มเปิดประตูออกให้แสงเข้ามา เตรียมตัวสำหรับเจ้าสิ่งนั้นที่จะกลับมาที่ห้องของฉัน มันมารวดเร็วกว่าครั้งก่อนๆที่มันเคยมา มันไม่ได้มาที่ห้องของฉันจากจุดที่มันเคยมาหรือตรงกลางห้อง มันเข้ามาใกล้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ฉันกลัวอย่างมากแล้วพยายามไม่คิดถึงมัน สิ่งที่ฉันทำได้คือทำเป็นไร้ตัวตนแล้วปิดตาให้สนิท

ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น ไม่แน่ใจว่ากี่โมง สิ่งนั้นมันเริ่มขยับมาที่ขาเตียงของฉัน สิ่งนั้นมันไม่ได้อยู่เฉยๆ ฉันรู้สึกได้ว่ามันขยับไปมาที่ขาเตียงของฉัน ฉันไม่สามารถข่มตาหลับได้เมื่อมันขยับไปมาอย่างงี้ โชคดีหน่อยที่หลังจากนั้นมันก็กลับไปที่กลางห้องแล้วอยู่เฉยๆอย่างนั้นตลอดทั้งคืน

งานแต่งงานของฉันใกล้เข้ามาถึงแล้ว  ฉันพร้อมที่จะออกไปจากบ้านหลังนี้เต็มทน อะไรก็ตามที่มันอยู่ชั้นใต้ดินมันได้ใกล้เข้ามาหาฉันเกินที่ฉันจะรับมือไหว ไม่กี่สัปดาห์ก็จะถึงงานแต่งของผม เจ้าสิ่งนั้นมันก็เข้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆอย่างรวมเร็ว อยู่ที่ขาเตียงของฉันเหมือนเดิม ฉันหลับน้อยลง กินน้อยลง แล้วรู้สึกไม่พอใจที่มีบางสิ่งที่ฉันไม่ชอบมาหลอกหลอนฉันอยู่ทุกวันในตอนที่ฉันใกล้จะแต่งงานแล้ว

มันเป็นเวลาตีสองตอนที่ฉันจะไปนอน ดังนั้นฉันจึงเปิดโคมไฟแต่ก็ยังลังเลว่าจะเปิดหรือปิดประตูห้องนอนดี มันไม่มีทางย้อนคืนแล้ว ณ จุดจุดนี้ เมื่อฉันเปิดโคมไฟ เจ้าสิ่งนั้นอาจจะวิ่งเข้ามา หรือมันอาจจะกลัวแสงสว่างแล้วถอยหนีกลีบไป ฉันหายใจเข้าลึก เปิดประตูสองบานนั้นแล้วรีบวิ่งกลับไปที่เตียงนอนของฉัน แต่ฉันยังคงลังเลว่าจะเปิดปิดโคมไฟดี ตอนนี้ยังมีโอกาส พรุ่งนี้ฉันไม่ต้องไปทำงานเพราะว่ามันเป็นวันก่อนแต่งงานของฉัน  การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของฉันคือ ปิดประตูแล้วเปิดโคมไฟทิ้งไว้ และนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันเปิดตาค้างเอาไว้มองหาว่ามีอะไรที่เข้ามาที่ห้องฉันหรือไม่

ฉันยังมองไม่ค่อยเห็นอาจเป็นเพราะตาของฉันยังไม่ชินกับแสงสลัวๆ ฉันสัมผัสได้ถึงมันจากนอกประตูแล้ว มันรออยู่ที่ห้องซักรีด ตาของฉันมองเห็นว่าเจ้าสิ่งนั้นมันมีรูปร่าง มันหมอบอยู่ หมอบลงไปกับพื้น ฉันยังมองไม่เห็นทั้งหมดของมัน ฉันยังกลัวๆอยู่ ยังไม่แน่ใจว่าเจ้าสิ่งนั้นมันอยู่ตรงนั้นจริงๆรเปล่า ฉันอยู่นิ่งๆแล้วมองไปที่สิ่งนั้นที่ถูกปิดบังไปด้วยความมืดของห้องซักรีด

ฉันช่วยอะไรตัวเองไมได้ ฉันจึงปิดตาให้สนิท ฉันไม่แน่ใจว่าจะเปิดหรือปิดตาดี แต่ฉันแน่ใจอย่างนึงว่าร่างกายของฉันจะไม่ขยับไปไหนแน่นอน ฉันเริ่มแอบมองอีกทีแล้วสิ่งที่ฉันเห็น มันยังคงสยองเมื่อนึกถึงมันทุกวันนี้ สิ่งนั้นที่หมอบอยู่ฉันเห็นมันเต็มตัวแล้ว แท้จริงแล้วมันหมอบลงพร้อมกับวางมือไว้ที่พื้นตรงระหว่างขาของมัน หมอบอยู่ที่ตรงกลางห้อง ฉันจ้องมองอย่างไม่กระริบตาพร้อมกับความสยองขวัญว่านั้นเป็นแม่ของฉนเองที่หมอบอยู่ตรงพื้นนั้นมองมาที่ฉันตาไม่กะพริบ หัวของเธอห้อยลงพร้อมกับยิ้มที่กว้างบนใบหน้าของเธอ ผมหยิกสีบลอนด์เข้มของเธอยุ่งเหยิงไปทั่วห้อง สิ่งนี้หรือที่ฉันได้เจอมันเป็นเวลานานนับปี แม่ของฉันมองมาที่ฉันอย่างประหลาดในขณะที่ฉันหลับอยู่ เธอทำอย่างงี้กับน้องสาวของฉันด้วยงั้นเหรอ ? เธอกำลังถูกอะไรบางอย่างเข้าสิงรึเปล่า ?

คำถามนับล้านกำลังแล่นอยู่ในความคิดของผม ไม่กี่วินาทีต่อมาฉันก็พบว่าสิ่งนั้นก้คือแม่ของผมที่มองฉันอยู่ตลอดเวลา เธอเริ่มขยับออกมาจากห้อง เธอค่อยๆขยับเท้าและมือของเธอ พยายามให้ใกล้กับพื้นที่สุด เคลื่อนที่ถอยหลังไปแล้วยังคงจ้องมาที่ฉันด้วยสายตาที่บ้าคลั่ง เธอหยุดอีกครั้งที่ทางประตู นับเป็นนาทีที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของผม จากนั้นเธอก็อันตรธานหายไปในความมืดของห้องซักรีด

ฉันไม่ได้รู้สึกถึงบางสิ่งที่มาจ้องมองฉันอีกจากห้องซักรีด แม่ของผมน่าจะกลับไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วกลับไปที่ชั้นบน ฉันหวังว่าอย่างงั้น ถ้าแม่ของฉันไม่บ้าหรืออะไรก็ตามแต่ ฉันว่าไม่ควรที่จะไปกระตุ้นเธอเลย มีแต่ผมคนเดียวที่รู้ว่าเธอทำอะไรอยู่

ฉันดูเวลาที่มือถือของฉัน มันผ่านมาเป็นชั่วโมงตั้งแต่เธอออกมาาจากของฉัน และฉันไม่รู้สึกถึงสิ่งนั้นีกแล้ว ฉันเปิดโคมไฟแล้วนั่งลงบนเตียง ฉันคิดว่าน่าจะดีกว่าถ้าไปเช็คว่าแม่ของผมอยู่ที่ไหน ไปดูว่าเธอไม่ได้กลับมาที่เตียงของฉันอีก นั่นอาจจะเป็นฉากตายของหนังสยองขวัญบางเรื่องก็เป็นได้.. ผมดูที่ห้องซักรีดแล้วไม่เห็นเธอไปซ่อนที่ห้องนั้น ฉันจึงคิดว่าควรปิดประตูเอาไว้ดีกว่า

ผมตื่นขึ้นมาแล้ว เดินไปที่ห้องซักรีดอย่างช้าๆ ไม่ได้คิดถึงมัน เดินต่อไปยังห้องนั่งเล่นแล้วผมก็เห็นแม่ของผม หมอบลงในท่าเดิมไกลออกจากห้องตรงเก้าอี้โยก เธอมองมาที่ฉันไม่กะพริบตาที่ทางเข้าประตู เธอยังคงโยกหัวขอเธอหน้าหลังไปมาอย่างช้าๆ เธอยังคงไม่ละสายตา ฉันยื่นแข็งทื่อ คลื่นแห่งความหวาดกลัวระลอกใหม่ยังคงถาโถมมาหาฉันที่ห้องนี้ แม่ของฉันเริ่มลากเท้าเข้ามาใกล้ผม เธอยังคงโยกหัวไปมาเหมือนเดิม รอยยิ้มของเธอตอนนี้กว้างแล้วดูอันตรายกว่าเดิม ฉันเปิดประตูก่อนที่เธอจะมาถึงตัวฉัน รีบวิ่งกลับไปที่ห้องนอนฉันแล้วปิดประตู

ฉันได้ยินเสียงดังจากแม่ของผมกระแทกกับประตู หนึ่ง สอง สามครั้งที่เธอน่าจะให้หัวของเธอโขกไปที่ประตู ผมทั้งเสียใจทั้งกลัว ผมหยิบ nunchuck (อาวุธของ Bruce Lee) ที่ผมซื้อมาจากตลาดที่ญี่ปุ่นเมื่อตอนผมยังเด็ก ผมตีแม่ของผมได้ใช่มั้ย ? ถ้ามันทำให้ผมปลอดภัยน่ะ

เสียงดังจากประตูห้องซักรีดหยุดลง นาที่ต่อมาฉันได้ยินเสียงบานพับประตูเปิดออกอย่างช้าๆ ลูกบิดประตูห้องนอนฉันเริ่มขยับไปมา พยายามที่จะเปิดประตู ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นทั้งคืนเปิดไฟสว่าง ตัวสั่นอยู่ที่มุมห้องของห้องนอนฉันมองดูลูกบิดประตูหมุนซ้ายขวา ประมาณหกโมงเช้า เสียงนั้นก็หยุดไป

ผมรอจนถึงเก้าโมงเช้า ให้แน่ใจว่ามันเป็นเวลาในช่วงเช้าจริงๆก่อนที่จะปลดล็อคประตูแล้วเดินออกจากห้อง ผมเดินไปที่ห้องซักรีด แม่ของผมไม่ได้อยู่ที่นั่น ฉันยังคงถือ nunchuck ออยู่ในมือ ฉันมองไปรอบๆแล้วเปิดประตูไปที่ห้องนั่งเล่นแต่เธอก็ไม่ได้อยู่ที่ห้องนั้นเช่นกัน ฉันมองไปรอบๆห้องสามรอบ ทั้งห้องครัวและห้องรับแขก แม่ของฉันนั่งอยู่ที่นั่งประจำของเธอที่โต๊ะทางอาหารค่ำ ทานซีเรียลอยู่ "อรุณสวสดิ์ หลับสบายดีใหม่" เธอถามผมด้วยน้ำเสียงปกติ

"สบายดีฮะ ผมว่า แม่ตื่นอยู่ตลอดทั้งคืนเลยหรอครับ?"

เธอทานซีเรียลที่อยู่ในปากเธอหมดแล้วกลืน "ไม่นะ แม่ไม่ได้ตื่นขึ้นมาเลย ลูกถามทำไมจ๊ะ"

"เปล่าครับ ผมแค่ได้ยินเสียงบางอย่างที่ห้องซักรีด" ฉันควรพูดอะไรออกไปดีเนี่ย เฮ้ย ทำไมแม่พยายามจะฆ่าผมหรือจะทำอะไรผมเมื่อคืนที่แม่มองมาที่ผมขณะที่ผมนอนหลับอยู่ทุกๆคนตั้งแต่ที่ผมอาศัยมาอยู่ที่เนี่ย?

"โอ้ โอเค มันอาจจะมีการซ่อมแซมบ้านก็เป็นได้นะ เธอได้ยินเสียงเกือบทุกอย่างตรงชั้นใต้ดินอยู่แล้วนิ" แม่ของผมพูด แล้วตักซีเรียลเข้าปากไปอีกคำ

"ใช่ฮะ มันก็ไม่น่าจะมีอะไรหรอก" ฉันพูด โกหกอีกครั้ง ฉันปล่อยให้เธอกลับไปทางอาหารต่อไป แล้วฉันเริ่มเตรียมตัวสำหรับวันข้างหน้า ฉันเตรียมพร้อมทุกอย่างสำหรับวันแต่งงานที่จะมีขึ้นในเสาร์นี้ ทั้งวันฉันไม่สามารถลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิดของฉันได้เลย มันไม่ใช่ฝัน ฉันหมายถึงฉันไม่เคยได้นอนเลย ฉันไม่มีโอกาสที่จะได้ฝันหรอก ไม่มีทาง ฉันยังคงเหลืออีกหนึ่งวันที่จะอยู่ที่บ้านนี้แล้วเริ่มวางแผนอะไรบางอย่าง

ฉันขอร้องให้เพื่อนสนิทที่สุดของฉัน แถมเป็นคนดีให้มานอนค้างคืนด้วยกันกับฉัน อ้างว่าให้มาช่วยปลุกหน่อยเพราะกลัวว่าจะตื่นสายในวันแต่งงานของตน ฉันไม่กล้าบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่ของฉัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฉันไม่อยากทำให้เขากลัว อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะฉันยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า

พวกเรานอนกันดึก ยังคงหัวเราะขำขันกับสิ่งที่ผมกับเพื่อนเคยทำสมัยยังเรียนอยู่ด้วยกัน แล้วเล่นวีดีโอเกมส์กัน จนฉันลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนไปแล้ว ฉันหมดแรงแล้วไปนอนบนเตียงนอน ฉันรอให้ตัวฉันทรุดหลับลงไปอยู่ครู่หนึ่ง แต่ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าถ้าแม่ของฉันมาทำแบบเดียวกับที่เธอทำเมื่อวานให้เพื่อนฉันเห็นละ เธอไม่มีทางทำหรอก ฉันไม่ได้สัมผัสถึงเธอตั้งแต่ห้องนั่งเล่นด้วยซ้ำ ฉันนอนหลับลงอย่างรวดเร็ว

งานแต่งงานจบลงโดยไม่มีอุปสรรค มันเป็นช่วงชีวิตที่ดที่สุดของชีวิตฉัน ฉันและภรรยาขับไปที่เมืองคันซัส เพื่อฉลองฮันนีมูนกัน ฉันลืมเรื่องเกือบทั้งหมดก่อนที่จะถึงงานแต่งงานของฉัน จนกระทั่งมันถึงเวลาที่พวกเราเปิดของขวัญวันแต่งงาน

พวกเราเปิดกล่องของขวัญ ที่มีการ์ดให้พวกเราใช้เวลาอ่านนานพอสมควร ฉันเปิดการ์ดที่แม่ของฉันให้กับพวกเรา มันเป็นหนึ่งในการ์ดที่มีเงินอยู่ด้วย ฉันอ่านข้อความที่อยู่บนการ์ดแต่มีเงินในการ์ดหลุดออกมาก่อน พร้อมกับกระดาษที่ถูกพับอยู่ตกลงไปบนพื้น ภรรยาของฉันไม่ทันสังเกต ฉันจึงหยิบกระดาษนั้นขึ้นมาแล้วคลี่ออกมาอ่าน ข้อความในนั้นเป็นตัวอักษรใหญ่ๆดูยุ่งเหยิงเขียนว่า "ฉันจะอยู่กับคุณไปชั่วนิรันดร์"

ฉันรีบพับโน้ตนั้นกลับแล้วโยนลงไปที่ถังขยะ ภรรยาของฉันไม่จำเป็นที่จะต้องรู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง มันจะทำให้เธอกลัวตอนกลางคืนไปเท่านั้น ดังนั้นฉันจึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ

สัปดาห์ต่อมาฉันตื่นขึ้นมาในอพาร์ตเมนต์เหงื่อท่วมตัว ภรรยาหลับอยู่ข้างฉัน ฉันรู้สึกกระหายน้ำแล้วหาน้ำดื่มจากห้องครัว ฉันเดินไปที่ห้องครัวแล้วรินน้ำใสแก้ว เมื่อฉันดื่มเข้าไป ฉันได้ยินเสียงอะไรซักอย่างเดินเข้ามาอยู่ข้างหน้าประตู ฉันไม่ได้คิดอะไร อาจจะเป็นเพื่อนบ้านก็เป็นได้ จากนั้นลูกบิดประตูก็เริ่มหมุนซ้ายขวาไปมา ฉันมองผ่านรูประตูแต่ก็ไม่มีใครอยู่ที่นั่น ฉันจึงปิดรูประตูแล้วหยิบลูกบิดนั่นให้มันหยุดหมุน ฉันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของใครซักคนพยายามที่จะหมุนลูกบิดซ้ายขวาไปมากลับมาหาฉันผ่านทางอีกฝั่งของประตู หลังจากนั้น มันหยุดมุน ฉันมองผ่านรูประตูอีกครั้ง ฉันเห็นแม่ของฉัน คลานต่ำลงไปกับพื้น มองมาที่ฉันด้วยสายตาที่กว้าง ไม่กะพริบตา พร้อมด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว..