วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

Mr. Widemouth

ในตอนที่ผมยังเล็ก ครอบครัวของผมเปรียบเหมือนกับหยดน้ำหยดหนึ่งในแม่น้ำอันกว้างใหญ่ ไม่เคยอยู่
ที่ใดที่นึงเป็นเวลานานๆ เราอาศัยอยู่ที่รัฐโรดไอแลนด์เมื่อผมอายุแปดปี จนกระทั่งผมย้ายไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่โคโลราโดสปริงส์ ความทรงจำวัยเด็กของผมส่วนใหญ่จะอยู่ที่รัฐโรดไอแลนด์ แต่มันมีสิ่งเล็กๆสิ่งนึงอยู่ภายในความทรงจำของผม ในช่วงที่ครอบครัวของผมย้ายบ้านไปหลายที่เมื่อตอนที่ผมยังเด็กกว่านี้มาก

ความทรงจำส่วนใหญ่ในตอนนั้นค่อนข้างจะเรือนลาง เล่นวิ่งไล่จับกับเพื่อนที่สนามหลังบ้านที่คาร์ลอรินา พยายามสร้างแพให้ลอยในอ่าวเล็กด้านหลังอพาร์ตเมนต์ที่เราเช่ากันที่แพนซีเวเนียร์ ฯลฯ แต่มันมีความทรงจำนึงที่ผมจำได้อย่างชัดเจน เหมือนกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ผมก็อยากจะคิดว่าเรื่องที่ผมจำได้นี้มันอาจจะเป็นความฝันที่ผมคิดไปเองตอนที่ผมป่วยอยู่ที่สปริง แต่ในใจลึกๆแล้ว ผมรู้ว่านี่คือเรื่องจริง

พวกเราอาศัยอยู่ที่บ้านด้านนอกของมหานครที่แออัดที่นิวไวน์ยาร์ด มีประชากร 643 คน บ้านหลังนี้ดูจะใหญ่เกินไปสำหรับครอบครัวผมที่มีกันแค่สามคน มีห้องที่ผมยังไม่เคยเห็นเป็นเวลาห้าเดือนที่ผมมาอาศัยอยู่ ผมคิดว่าห้องนี้มันไม่มีประโยชน์  แต่บางทีพ่อของผมก็ใช้ห้องนี้ในการทำงาน

หนึ่งวันหลังจากครบรอบวันเกิด 5 ปีของผม ผมลงมาข้างล่างเนื่องจากเป็นไข้ แพทย์บอกกับผมว่าผมเป็นโรคโมโนนิวคลิโอลิส (เป็นการติดเชื้อไวรัสที่มีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ ระบบต่อมน้ำเหลือง และต่อมในบริเวณของคอ บริเวณของขา-หนีบ แขน หลอดลม ม้ามและตับ) นั่นหมายความว่าผมจะไปเล่นที่ไหนไม่ได้ แล้วไข้ยังคงขึ้นสูงไปอีกอย่างน้อยสามอาทิตย์ มันเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายมากเวลาที่ผมเจ็บเรื้อรังแล้วลุกไปไหนไม่ได้ ในตอนที่พวกเราจัดของเตรียมที่จะย้ายไปอยู่เพนซิลเวเนีย และของส่วนใหญ่ของผมก็ถูกแพ็คใส่กล่อง ตอนย้ายเข้ามาใหม่ๆ แม่ผมมักจะซื้อ Ginger ale (เครื่องดื่มขิง มีรสซ่า) กับหนังสือให้ผมอยู่หลายครั้ง แรกๆมันก็ทำให้ผมมีความสุข แต่นานๆไปเข้าความเบื่อก็เข้ามาแทน

ผมจำไม่ค่อยได้ว่าผมพบกับ Mr.Widemouth (ขอเรียกต่อจากนี้ว่า นายปากกว้าง) เมื่อไหร่ ผมคิดว่ามันน่าเป็นช่วงหนึ่งอาทิตย์หลังจากที่ผมป่วยเป็นโรคโมโน ความทรงจำแรกที่มีต่อสิ่งมีชีวิตร่างเล็กนี้คือผมถามเค้าไปว่าคุณมีชื่อมั้ย เค้าบอกให้ผมเรียกตัวเค้าว่า นายปากกว้าง เพราะว่าปากของเค้ากว้าง อันที่จริงคือทุกอย่างของเขาใหญ่มากเมื่อเทียบกับลำตัวของเขาไม่ว่าจะเป็น หัว ลูกตา หูที่เหมือนเวตาล แต่ดูเหมือนว่าปากของเขาน่าจะกว้างที่สุดแล้ว

"คุณดูเหมือนกับเฟอร์บี้เลย" ผมพูดระหว่างที่เค้าเปิดหน้าหนังสือของผม

เขาถามผมกลับมาว่า "เฟอร์บี้ ? เฟอร์บี้มันลักษณะยังไงล่ะ?"

ผมตอบกลับไปว่า "คุณน่าจะรู้นะ ...ของเล่น เป็นหุ่นยนต์ตุ๊กตาตัวเล็กๆที่มีหูใหญ่ๆ คุณสามารถให้อาหารและเลี้ยงมันได้ เหมือนกับสัตว์เลี้ยงจริงๆ.

"โอ้" "แกไม่จำเป็นที่จะต้องมีมันหรอก มันไม่เหมือนกับที่เรามีเพื่อนแท้จริงๆหรอก" เขาตอบผม

ผมจำได้ว่า นายปากกว้างมักจะหายตัวไปทุกครั้งที่แม่ของผมเข้ามาตรวจห้องของผม "ข้าหลบอยู่ใต้เตียงของแกน่ะแหล่ะ" เขาอธิบายทีหลัง "ข้าไม่อยากให้พ่อแม่แกเห็นข้าน่ะ ไม่งั้นเราทั้งคู่อาจจะไม่ได้เล่นกันอีกเลยนะ"

เราสองคนไม่ได้ทำอะไรกันมากในวันแรกๆที่เจอกัน นายปากกว้างก็แค่ดูหนังสือของผม ตื่นตาตื่นใจกับภาพและเนื้อเรื่องที่อยู่ในหนังสือแต่ละเล่ม วันที่สามและสี่ในตอนเช้าหลังจากที่ผมพบเขา เขาทักทายผมพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง "ข้ามีเกมใหม่อยากให้เราเล่นกัน" เค้าพูด "พวกเราจะต้องรอหลังจากที่แม่ของแกมาตรวจห้องแล้ว เพราะว่าเราจะให้เธอเห็นไม่ได้ มันเป็นเกมแห่งความลับ"

หลังจากที่แม่เอาหนังสือและเครื่องดื่มมาให้ผมตามปกติ นายปากกว้างออกมาจากเตียงแล้วดึงมือผม "พวกเราต้องไปห้องที่อยู่ตรงสุดทางของห้องโถงนั่น" เขาพูด ตอนแรกผมคัดค้านเพราะว่าพ่อแม่ของผมห้ามไม่ให้ผมลุกออกจากเตียงโดยไม่ขออนุญาต จนกระทั่งนายปากกว้างขอร้องจะเล่นให้ได้ ผมจึงยอมเล่นกับเขา

ห้องดังกล่าวไม่มีเฟอร์นิเจอร์และวอลเปเอร์ มันมีเพียงหน้าต่างซึ่งอยู่ตรงข้ามกันกับประตู นายปากกว้างวิ่งไปที่หน้าต่างและผลักหน้าต่างออกอย่างแรง กวักมือเรียกให้ผมไปดูพื้นที่อยู่ด้านล่าง

เรากำลังเข้าสู่เรื่องที่สองเกี่ยวกับบ้าน แต่บ้านหลังนี้อยู่บนเขา จากมุมนี้นั่นผมจะตกสูงกว่าบ้านสองหลังที่ผมกล่าวไว้ตั้งแต่ต้น "เราจะเล่นเกมที่ชื่อว่า เกมแกล้งเหมือน กัน" นายปากกว้างอธิบาย "ข้าแกล้งเหมือนกับว่ามันมีเบาะนุ่มๆใหญ่ๆอยู่ด้านล่างหน้าต่างนี้ ถ้าข้ากระโดด ถ้าแกแกล้งเหมือนว่ามันมีเบาะจริงๆ นายก็จะกระเด้งกลับมาเหมือนกับขนนก ข้าอยากให้แกลองทำดู"

ตอนนั้นผมอายุยังแค่ห้าขวบแถมยังมีไข้ ความสงสัยมันพุ่งขึ้นมาหลังจากที่ผมก้มลงมองดูพื้นข้างล่าง แล้วถามนายปากกว้างไปว่า "มันสูงมากเลยนะครับ"

"นั่นแหละความสนุกของมันล่ะ ถ้ามันไม่สูงมันจะไปสนุกได้ยังไงกันเล่า แกก็แค่กระโดดลงไปเหมือนกับมีเบาะนุ่มๆรองรับ"

ผมลองนึกจินตนาการภาพตัวเองกระโดดลงไปผ่านอากาศเบาบาง แล้วเด้งกลับมาที่หน้าต่าง "ผมขอเป็นครั้งหน้าละกันครับ" ผมพูด "ผมไม่แน่ใจว่าผมจะมีจินตนาการมากพอที่จะโดดลงไปรึเปล่า ผมอาจจะเจ็บตัวก็ได้"

หน้าของนายปากกว้างเปลี่ยนกลายเป็นโกรธทันที แต่มันก็แค่ชั่วครู่หนึ่ง จากหน้าบึ่งกลายเป็นหน้าผิดหวัง "ถ้าแกพูดอย่างงั้นล่ะก็... " เขาพูด จากนั้นเขาก็ใช้เวลาทั้งวันอยู่ใต้เตียงของผม เหมือนกับหนู

เช้าวันต่อมา นายปากกว้างมาหาผมพร้อมกับถือกล่องใบเล็กในมือ "ข้าอยากจะสอนให้แกเล่นกลน่ะ" เขาพูด "ของพวกนี้ไว้ใช้สำหรับให้แกฝึก ก่อนที่ข้าจะสอนบทเรียนให้แกจริงๆ"

ผมมองไปที่กล่องใบนั้น มันเต็มไปด้วยมีด "พ่อแม่ต้องฆ่าผมแน่ๆเลย" ผมตะโกน หวาดกลัวที่นายปากกว้างนำมีดเข้ามาที่ห้องของผม เป็นสิ่งที่พ่อแม่ของผมไม่อนุญาตให้แตะต้อง "ผมจะต้องโดนตีแล้วก็ถูกกักบริเวณเป็นปีๆแน่"

นายปากกว้างขมวดคิ้ว "มันสนุกนะที่จะเล่นกลกับสิ่งนี้น่ะ ข้าอยากให้แกลองเล่นดู"

ผมผลักกล่องนั้นออกไป "ผมทำไม่ได้ ผมจะต้องตกที่นั่งลำบากแน่ มีดมันไม่ปลอดภัยที่จะโยนไปกลางอากาศ"

นายปากกว้างขมวดคิ้วจนกลายเป็นหน้าบึ้ง เขาหยิบกล่องนั่นแล้วเลื่อนมันเข้าไปใต้เตียงของผม กล่องนั้นยังคงอยู่ตรงนั้นทั้งวันของผม ผมอยากรู้ว่าเขาอยู่ใต้ตัวผมมานานเท่าไหร่แล้ว

ผมเริ่มมีปัญหาการนอนหลับหลังจากที่นายปากกว้างมาปลุกผมให้ตื่นในตอนกลางคืน เขาพูดว่าเขาได้วางเบาะนุ่มๆของจริงไว้ใต้หน้าต่าง ใหญ่มากด้วย แต่มันใหญ่จนมองไม่เห็นในที่มืดๆ ผมก็มักจะตอบปฏิเสธแล้วกลับไปที่นอนของผม บางครั้งเค้าก็มาอยู่ข้างๆผมจนถึงเช้าตรู่ขอร้องให้ผมกระโดดให้ได้

ผมรู้สึกว่าเขาไม่ใช่เพื่อนที่เล่นสนุกด้วยกันอีกแล้ว

แม่ของผมมาหาผมเช้าวันหนึ่งแล้วอนุญาตให้ผมเดินออกไปข้างนอกห้องได้แล้ว เธอคิดว่าอากาศบริสุทธิ์น่าจะดีสำหรับผม หลังจากที่ผมอยู่แต่ในห้องเป็นเวลานาน ผมดีใจมาก ผมรีบใส่รองเท้าวิ่งของผมแล้ววิ่งไปที่ระเบียงด้านหลัง เพื่อออกมารับแสงอาทิตย์

นายปากกว้างกำลังรอผมอยู่ "ข้ามีบางอย่างอยากจะให้แกดู "เขาพูด ผมคงจะต้องดูเพราะว่าเขาพูดว่า "มันปลอดภัยแน่ ฉันรับรอง"

ผมตามเขาไปตรงที่เริ่มเส้นทางเดินที่เดียร์เทรล ทั้งหมดที่เห็นมีแต่ป่าและต้นไม้ที่ไม่มีใบ "นี่เป็นเส้นทางที่สำคัญมาก" เขาอธิบาย "ข้ามีเพื่อนมากมายอายุใกล้เคียงกับแก เมื่อพวกเขาพร้อมแล้ว ข้าจะพาพวกเขาเดินไปที่เส้นทางแห่งนี้ แต่เจ้ายังไม่พร้อม แต่ซักวันนึง ข้าหวังว่าจะพาแกไปที่นั่น

ผมกลับไปที่บ้าน แล้วเริ่มสงสัยว่าที่ด้านหลังของเส้นทางเดินนั้นมันมีอะไรกันแน่

สองสัปดาห์หลังจากที่ผมพบกับนายปากกว้าง ของชิ้นสุดท้ายก็ถูกแพ็คแล้วส่งไปที่รถบรรทุกเคลื่อนย้าย ผมได้นั่งข้างในรถบรรทุก ข้างๆกับพ่อของผมกับการเดินทางระยะไกลไปที่เพนซิลเวเนีย ผมพิจารณาดูว่าควรจะบอกนายปากกว้างว่าผมจะต้องย้ายออกหรือไม่ แต่ผมยังอายุแค่ห้าขวบ ผมเริ่มสงสัยว่าสิ่งที่นายปากกว้างทำนั้นอาจจะไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของผม อาจจะเป็นเพื่อตัวของเขาเอง ผมจึงเก็บเรื่องการเดินทางนี้เป็นความลับ

พ่อและผมเดินอยู่ที่รถบรรทุกตอนตี 4 เขากระโดดขึ้นรถเพื่อขับไปให้ถึงเพนซิลเวเนียก่อนเวลาเที่ยงของพรุ่งนี้ พร้อมกับมีเสบียง กาแฟแล้วเครื่องดื่มชูกำลังคอยเติมพลังให้กับตัวเอง ดูเหมือนว่าเค้าจะเร่งรีบขับรถไปมากกว่าที่จะขับรถสองวันแบบเอื่อยๆ

"เช้าเกินไปรึเปล่าสำหรับลูก ?" เขาถามผม

ผมพยักหน้าแล้วเอาหน้าไปแนบหน้าต่าง หวังที่จะนอนอีกซักหน่อยก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น พ่อเอามือมาแตะไหล่ของผม "เราจะย้ายไปที่นี่ครั้งสุดท้ายแล้ว ลูกรัก พ่อสัญญา พ่อรู้ว่ามันลำบากสำหรับลูก แต่ถ้าพ่อได้งานดีๆเมื่อไหร่ เราจะปักหลักไม่ย้ายไปที่ไหนอีกแล้ว แล้วลูกจะได้มีเพื่อนที่นั่นจริงๆ"

ผมเปิดตาขึ้นมาทันทีหลังจากมองกลับไปที่บ้านหลังที่ผมเคยอยู่ ผมเห็นเงาของนายปากกว้างอยู่ที่หน้าต่างของห้องนอนของผม เขายืนนิ่งไม่เคลื่อนที่ จนกระทั่งรถบรรทุกกำลังจะเลี้ยวไปที่ถนนหลัก เขาก็โบกมือลาก่อนให้กับผม มีมีดสเต็กอยู่ในมือ ผมไม่ได้โบกมือลาเขากลับ

ปีต่อมา ผมกลับไปที่นิวไวน์ยาร์ดที่ผมเจอนายปากกว้าง พื้นที่ที่บ้านเราเคยอยู่ตอนนี้กลายเป็นที่ว่างเปล่า บ้านนั่นถูกไฟไหม้สองสามปีหลังจากที่ครอบครัวของเราย้ายออกมา ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของผม ผมได้เดินตามทางไปที่เส้นทางเดียร์เทรล ที่นายปากกว้างเคยบอกว่าจะพาผมไป ลึกๆแล้วผมอยากจะเห็นนายปากกว้างกระโดดออกมาจากพุ่มไม้แล้วมาหลอกให้ผมตกใจ แต่ผมรู้สึกว่านายปากกว้างได้จากไปแล้ว

เส้นทางนั้นไปจบอยู่ตรงสุสานนิวไวน์ยาร์ด

ผมสังเหตเห็นว่าสุสานส่วนใหญ่นั้นเป็นของเด็กอายุประมาณ 4-6 ขวบ





วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

The Absence of Conflict

ครูคนหนึ่งได้ก้าวเท้าเข้าไปที่หน้าห้อง มองหน้าไปที่นักเรียนของเธอ  "ด้วยความช่วยเหลือของสิ่งประดิษฐ์ของพวกเรา ได้ใช้ความสอดคล้องกันของหลักสันติ 5 ประการได้พัฒนาโลกเราให้เป็นอยู่ดีขึ้น" เธอพูดพร้อมกับยิ้ม "เป็นเวลาร้อยกว่าปีแล้วที่พวกเราใช้ชีวิตกันโดยไม่มีความขัดแย้ง พวกเราถือเป็นความหวังของชาติในการทำให้โลกนี้เป็นโลกแห่งความสันติ

นักเรียนคนนึงซึ่งอยู่หน้าแถวได้ยกมือขึ้นมา " ผมอยากทราบคำจำกัดความของคำว่าสันติมันเหมือนกับการที่เราไม่มีความขัดแย้งอย่างไรครับ" เขาถาม "ถ้าคนเราไม่อนุญาตให้คัดค้านหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งต่างๆ พวกเขาก็คงจะไม่มีทางสงบได้ พวกเขาจะอยู่กันอย่างเกรงกลัว" 

คุณครูเอียงหัว แล้วหรี่ตา ถามนักเรียนคนนั้นว่า "งั้นแปลว่าเธอจะคัดค้านชั้นอย่างงั้นน่ะสิ"

นักเรียนคนนั้นพยักหน้าอย่างรวดเร็ว "ใช่ครับ" เขาตอบครูไป จากนั้นตาของเขาก็เบิกกว้าง "ผมหมายถึง เอ่อ ไม่ครับ" จู่ๆดูเหมือนว่าเส้นเลือดที่คอของนักเรียนคนนั้นปูดขึ้นมาแล้วบิดไปมา จากนั้นเขาก็บีบคอตัวเอง เขาหายใจกระอึกกระอัก จากนั้นก็ล้มลงไปที่โต๊ะของเขา

ครูคนนั้นยิ้มกว้างไปที่หน้าจอมอนิเตอร์ที่ห้องเรียน จากนั้นนักเรียนคนนั้นก็ถูกนำตัวออกไปจากที่นั่ง "เวอร์ชั่น 5 นั้นเร็วกว่า เวอร์ชั่น 4 ตั้งสิบเท่า มันไม่ได้ทำให้เด็กคนนั้นร้องเลยซักแอะ" ภารโรงจะต้องทำความสะอาดอะไรหลายๆอย่างให้สะอาดก่อนที่เสียงออดจะดัง จากเหตุการณ์ครั้งนั้นรับประกันเลยว่าความสันตินั้นจะเกิดขึ้นที่ห้องเรียนดังกล่าวอย่างแน่นอน


วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2557

The lullaby

เป็นเวลาประมาณตี 1 ลูกของผมร้องไห้ เสียงของกล้องดูแลเด็กดังกว่าที่ผมคิดไว้ ทำให้ผมตื่นขึ้นมา ผมลูกขึ้นมาจากเตียงนอนแล้วไปหาลูกของผม

ขณะที่ผมกำลังเดินออกจากห้องนั้นเอง ผมได้หยุดอยู่ที่ประตูเพราะผมได้ยินเสียงเพลงกล่อมเด็กจากภรรยาของผม ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ผมจึงคลานกลับไปที่เตียงนอนแล้วนึกถึงเสียงเพลงกล่อมเด็กที่ลูกผมชอบของภรรยาผม

เสียงไพเราะของเธอทำให้ผมและลูกรู้สึกสบาย ทำให้พวกเราทั้งหมดหลับอย่างรวดเร็ว ผมนอนหลับอย่างมีความสุขมากในคืนนั้น

ผมตื่นขึ้นมาในวันถัดมาในอาการตื่นตระหนก ผมพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าภรรยาของผมได้ออกเดินทางไปทัวร์กับบริษัทตั้งแต่สองวันที่แล้ว ผมแปลกใจว่าเสียงเพลงที่ได้ยินเมื่อคืนคืออะไร

ผมรีบวิ่งไปที่ห้องนอนลูกผม ได้แหลกละเอียดและถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ ผมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและโกรธแค้น ผมเดินไปทั่วห้องเพื่อหาตัวคนร้าย ตอนนั้นเองผมได้เห็นข้อความบนผนังเขียนไว้ว่า

"เพลงกล่อมเด็กเพราะมั้ยล่ะ?"

Who’s in my Bed?

ผมได้พาลูกชายเข้าไปนอน จู่ๆลูกชายของผมก็ทักขึ้นมาว่า "พ่อครับ ดูใต้เตียงหน่อยครับว่ามีสัตว์ประหลาดรึเปล่า" ผมหัวเราะในความไร้เดียงสาของเขา เมื่อผมมองลงไปใต้เตียง ผมเห็นลูกชายคนเดิมของผมอยู่ใต้เตียง เขามองมาทางผมแล้วกระซิบกับผมเบาๆว่า "พ่อครับมีใครบางคนอยู่บนเตียงของผม"

South Park Kenny

Kenny McCormick เป็นตัวละครที่ผมชอบตัวหนึ่งในการ์ตูนเรื่อง South Park เขามักจะสวมเสื้อฮูดสีส้มที่ปิดบังใบหน้าของเขาไว้ ทำให้เวลาเราฟังเสียงที่เขาพูดไม่ค่อยรู้เรื่องซักเท่าไหร่ Kenny ตายนับครั้งไม่ถ้วนในเกือบทุกๆตอนที่การ์ตูนเรื่องนี้ฉาย เราอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก หรือเป็นสิ่งบันเทิง แต่พวกเราเคยหยุดคิดสงสัยบ้างไหมว่าทำไม Kenny ถึงตายบ่อยเหลือเกิน อาจจะเป็นเพราะว่าเค้าเป็นฮีโร Mysterion (อีกร่างนึงของ Kenny) ก็ได้ แต่เบื้องหลังนั้นมีมากกว่าที่คิดเอาไว้ Kenny เติบโตขึ้นมาจากครอบครัวที่ยากจน เขาถูกดูถูกเหยียดหยามอยู่เป็นประจำ

พ่อแม่ของเขาหมดเงินไปกับยาเสพติดและแอลกอฮอล์ เขาถูกทารุณกรรมทางเพศจากแม่ และถูกทุบตีโดยพ่อ เป็นเหตุผลที่ทำให้เขามีความรู้เรื่องเพศมากกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน Kenny รู้สึกโดดเดี่ยวจากโลกอันแสนโหดร้าย ที่เพื่อนๆของเขาไม่สนใจว่าเขาจะตายไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทำให้ทุกคนที่มองเผินๆว่าเขาอาจจะเกิดมาแค่เพื่อตายให้ความบันเทิงในแต่ละตอนแก่คนดูเท่านั้นเอง

Kenny ไม่อยากให้คนดูสงสัยเกี่ยวกับการตายของเขา เขาจึงทำให้ตัวเองตายหลายๆแบบ นานๆทีเขาก็อาจจะฆ่าตัวตายเสียเอง
จนกระทั่ง Season 5 รู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตแบบนี้เต็มที เขาหนีออกจากโลกอันโหดร้าย โดยการสร้างโลกในจินตนาการของเขาขึ้นมาเองโดยการที่เขาตายจริงๆ ไม่กลับมาอีกเลย ซึ่งสามารถชมได้ใน Season 5 ตอนที่ 13 ชื่อตอนที่"Kenny ตายแล้ว" เมื่อเพื่อนๆของเขารู้ว่าเขาได้จากไปจริงๆแล้ว เขาก็รู้สึกมีความสุขที่ได้ตายจริงๆ ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้วกับโลกแห่งความเป็นจริง แต่ต่อมาใน Season ที่ 6 นั้นเค้าก็กลับมามีชีวิตอยู่เหมือนเดิม

พ่อของ Kenny ได้ฆ่าตัวตาย จากยาเสพติด เขารู้สึกเสียใจอย่างลึกๆที่ทำให้ครอบครัวของเขายากจน มันเป็นเช้าที่ Kenny ตื่นขึ้นแล้วเดินไปในห้องน้ำเพื่อหาพ่อของเขาStuart McCormick ตายจากการเสพยาเกินขนาด มีคำว่า "ทั้งหมดมันเป็นความผิดของฉันเอง" และคำว่า "ไม่มีอีกแล้ว" ถูกเขียนไว้บนผนังบ้าน แม่ของเขา Carol ก็ดื่มหนักขึนทุกวันหลังจากที่สามีของเธอได้จากไป

สัปดาห์ต่อมาหลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิต Carol ได้เข้าไปที่ห้องนอนของ Kenny อย่างรวดเร็วหลังจากที่ Kennyกำลังจ้ะเข้านูอนีแล้ึว เธอดูเงียบขรึมผิดปกติ ตอนแรก Kenny คิดว่าเธออาจจะมาทำร้ายเขา แต่กลายเป็นว่าเธอกลับขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ไม่ดีที่ทำลงไปกับเขา เธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าลูกตัวเองเจ็บขนาดไหน เธอคุกเข่าข้างหน้าเตียงนอนของเขา ขอร้องให้ Kenny ยกโทษให้กับเธอ Kenny ตอบเธอกลับไปพร้อมกับมีน้ำตาเอ่อล้นที่ตาว่า "ผมยกโทษให้ครับ คุณแม่" จากนั้นเธอก็เริ่มยิ้มแบบแปลกๆ แล้วขอบคุณ Kenny แล้วหยิบปืนพกออกมาจากกระเป๋าของเธอเธอพูดว่า "ฉันรักเธอนะ Kenny" จากนั้นก็หันกระบอกปืนที่หัวของตัวเอง แล้วลั่นไก เธอตายทันทีหลังเสียงปืนสิ้นลง

จิตใจของ Kenny แตกสลายหลังการสูญเสียแม่ของเขา เป็นเหตุผลนึงที่ทำให้เขาอยากจะใช้ชีวิตในโลกที่เขาจินตนาการขึ้นมาเอง ในตอนเริ่มแรกของ Season ที่ 6 Kenny ได้กลับมามีชีวิตต่อ แต่ว่าตายน้อยกว่าแต่ก่อนในแต่ละตอน เขาจินตนาการว่าพ่อแม่ของเขายังคงอยู่ที่บ้านแต่ในโลกของความเป็นจริงทั้งคู่ได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว เขาหาเหตุผลมาอธิบายการตายแต่ละครั้งที่เค้าตายเพื่อปกปิดเหตุผลที่แท้จริงว่าเขาตายเพื่ออะไร เขาพยายามเดินตามรอยเท้าของพ่อแม่ เขาจะต้องแข็งแกร่งเพื่อที่จะปกป้อง Kevin และ Karen (พี่น้องของ Kenny) นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป

The Elevator Game


เกมนี้เป็นเกมจากประเทศเกาหลี หากทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ว่ากันว่าผู้เล่นจะถูกส่งไปยัง "โลกที่แตกต่าง"

อ้างอิงจากผู้เล่นที่เล่นเกมนี้สำเร็จ โลกที่แตกต่างจะมีสภาพเหมือนกับโลกตึกที่ใช้เล่นเกมนี้ทุกประการ แต่ไฟทุกดวงจะดับสนิท และมองเห็นเพียงเครื่องหมายกาชาดที่อยู่ไกลลิบเท่านั้น ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นเลยนอกจากตัวผู้เล่น ผู้เล่นบางส่วนบอกว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดจะใช้การไม่ได้ ในขณะที่บางคนกลับกล่าวว่ามันยังใช้การได้ตามปกติ


ผู้เล่นจะต้องอยู่ในอาคารที่มี 10 ชั้นขึ้นไป และอยู่ในลิฟต์ตามลำพัง


-วิธีเล่น-

1. เข้าไปในลิฟต์ซึ่งอยู่ที่ชั้นที่ 1
2. กดเลข 4 แต่เมื่อลิฟต์เคลื่อนไปถึงชั้นที่ 4 อย่าออกมาจากลิฟต์ ให้กดเลข 2 แทน
3. เมื่อลิฟต์เคลื่อนถึงชั้นที่ 2 กดเลข 6
4. เมื่อลิฟต์ขึ้นไปถึงชั้นที่ 6 กดเลข 2
5. เมื่อถึงชั้นที่ 2 กดเลข 10
6. เมื่อถึงชั้นที่ 10 กดเลข 5
7. เมื่อถึงชั้นที่ 5 จะมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในลิฟต์ เธอไม่ใช่มนุษย์ อย่าจ้องเธอ ไม่อย่างนั้นเด็กคนนั้นจะลักพาตัวคุณไป
8. กดเลข 1 เมื่อมาถึงจุดนี้ ถ้าลิฟต์ไม่ยอมกลับลงไปชั้น 1 แต่เคลื่อนขึ้นไปชั้น 10 แทน ถือว่าผู้เล่นประสบความสำเร็จ ผู้เล่นได้ไปถึงอีกโลกหนึ่งแล้ว ซึ่งไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากตัวผู้เล่นเอง
9. ถ้าผู้เล่นเดินออกจากลิฟต์ในชั้นที่ 10 เด็กผู้หญิงจะถามผู้เล่นว่า "คุณจะไปไหน" แต่อย่าตอบเธอ

ถ้าเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมเข้ามาในลิฟต์ หรือมีคนอื่นเดินเข้ามาขณะที่กำลังทำตามขั้นตอนดังกล่าว ถือว่าการเล่นนั้นล้มเหลว ผู้เล่นสามารถยกเลิกเกมนี้ได้ทุกเมื่อโดยการกดเลข 1 ถ้าลิฟต์ไม่ยอมเคลื่อนลงไปที่ชั้น 1 ให้กดต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่ามันจะลงไป


-วิธีกลับมายังโลกเก่า-

1. ใช้ลิฟต์ตัวเดียวกันกับตอนขาไป
2. กดลิฟต์เรียงตามลำดับ 4-2-6-2-10-5 อีกครั้ง
3. เมื่อลิฟต์เคลื่อนถึงชั้น 5 กด 1
4. ขณะที่ลิฟต์เคลื่อนขึ้นไปยังชั้น 10 กดเลขอื่นเพื่อยกเลิกเกมนี้
5. หลังจากที่มาถึงชั้น 1 อย่าลืมเช็คสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย

ถึงกระนั้น หลายคนบอกว่าการกลับมายังโลกเก่ายากกว่าการไปยังอีกโลกด้วยเหตุผลบางประการ ผู้เล่นอาจจะหลงทางและลืมว่าลิฟต์ตัวไหนคือตัวที่เคยใช้ หรือบางครั้งลิฟต์อาจจะเคลื่อนห่างออกไปเรื่อย ๆ ขณะที่ผู้เล่นพยายามเดินกลับมา

The Bath Game

เกมอ่างอาบน้ำ หรือ "ดารุมะซัง" เป็นเกมเหนือธรรมชาติที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น เกมนี้เป็นเกมที่จะอัญเชิญดวงวิญญาณซึ่งจะติดตามผู้เล่นไปทั้งวันออกมา และจุดประสงค์ของเกมนี้คือการพยายามหลบหลีกไม่ให้ผีนั้นจับผู้เล่นได้

คำเตือน : เราขอแนะนำว่าอย่าเล่นเกมนี้จะดีที่สุด หลายคนกล่าวว่าการเล่นเกมดารุมะซังจะทำให้ผู้เล่นพบเจอแต่สิ่งที่เลวร้าย

-วิธีเล่น-
1. ก่อนนอน ให้ผู้เล่นถอดเสื้อผ้าและเข้าไปในห้องน้ำ
2. เปิดน้ำให้เต็มอ่างอาบน้ำ และปิดไฟ
3. นั่งตรงกลางอ่าง หันหน้าเข้าหาก๊อกน้ำ
4. สระผม แล้วกล่าวซ้ำไปซ้ำมาว่า "ดารุมะซังลื่นล้ม... ดารุมะซังลื่นล้ม"
5. ขณะที่กำลังสระผม ผู้เล่นจะเห็นมโนภาพของหญิงสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งยืนอยู่ในอ่างอาบน้ำ เธอลื่นล้มและหน้าคะมำไปทางก๊อกน้ำขึ้นสนิม ก๊อกน้ำนั้นแทงตาของเธอและทำให้เธอถึงแก่ความตาย
6. กล่าวคำว่า "ดารุมะซังลื่นล้ม ดารุมะซังลื่นล้ม" ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสระผมเสร็จ จำไว้ว่าผู้เล่นจะต้องหลับตาตลอดเวลา ผู้เล่นอาจได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลัง จงปิดตาต่อไป อย่าแอบดู สิ่งที่ผู้เล่นทำคือการอัญเชิญดวงวิญญาณออกมา ดวงวิญญาณของหญิงสาวจะลุกขึ้นมาจากน้ำด้านหลังผู้เล่น และสภาพของเธอไม่ได้ดูดีเท่าไรนัก
7. เมื่อผู้เล่นสัมผัสได้ว่าเธอขึ้นมาแล้ว ให้ผู้เล่นถามว่า "ทำไมเธอถึงลื่นล้มในอ่างอาบน้ำ"
8. ยืนขึ้นและก้าวออกมาจากอ่างขณะที่ยังปิดตาอยู่ ระวังอย่าสะดุดหรือลื่นล้ม ออกมาจากห้องน้ำทันทีและปิดประตู ตอนนี้ผู้เล่นสามารถลืมตาได้แล้ว ปล่อยน้ำไว้ในอ่างทั้งคืนและเข้านอน

เช้าวันต่อมา เมื่อผู้เล่นตื่น เกมจะเริ่มขึ้น วิญญาณของหญิงสาวตาเดียวจะติดตามผู้เล่นไป ถ้าผู้เล่นหันไปมอง เธอจะหายไป ระหว่างวันนั้นถ้าผู้เล่นเหลือบมองข้ามไหล่ขวา บางครั้งผู้เล่นจะมองเห็นดวงวิญญาณนั้น เธอจะขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป อย่าให้วิญญาณจับผู้เล่นได้

ถ้าผู้เล่นมองเห็นดวงวิญญาณอยู่ด้านหลังและคิดว่าเธอเข้าใกล้เกินไป ให้ผู้เล่นตะโกนว่า "หยุด !" (เป็นภาษาญี่ปุ่น) และวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่จะทำให้ผู้เล่นมีระยะห่างกับวิญญาณเพิ่มขึ้น

ในการจบเกมนี้ ผู้เล่นจะต้องจับผีได้ เมื่อจับได้แล้วให้ตะโกนว่า "ฉันฆ่าเธอแล้ว" (ภาษาญี่ปุ่นอีกเช่นกัน) แล้ววาดมือไปข้างหน้าเหมือนท่าฟันมือในคาราเต้

ผู้เล่นจะต้องจบเกมให้ได้ก่อนเที่ยงคืน มิฉะนั้นหญิงสาวคนนั้นจะปรากฏตัวขึ้นในความฝันและติดตามผู้เล่นต่อไป

-กฎของเกม-
1. ห้ามลืมตาเมื่อผีปรากฏตัวขึ้นครั้งแรก
2. ระวังอย่าให้ผีขัดขาผู้เล่นขณะกำลังก้าวออกมาจากอ่างอาบน้ำ
3. ห้ามกลับเข้าไปในห้องน้ำหลังเดินออกมาแล้ว
4. ห้ามปล่อยน้ำในอ่างทิ้งจนกว่าจะถึงตอนเช้า 
5. อย่าให้วิญญาณหญิงสาวตาเดียวจับผู้เล่นได้

***คำเตือนข้อสุดท้าย***
อย่าเล่นเกมนี้ มันอันตรายมาก การอัญเชิญดวงวิญญาณอาจทำให้ผู้เล่นถูกเข้าสิงหรือเสียชีวิตอย่างน่าสยดสยอง ผู้เล่นอาจสะดุดล้มในอ่างและบาดเจ็บสาหัส หรืออาจถึงแก่ชีวิต ถ้าผู้เล่นล้มเหลวในการเล่นเกมนี้ ดวงวิญญาณจะติดตามผู้เล่นไปตลอดชีวิต อย่า-เล่น-เกม-นี้

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2557

Her Name


มันเป็นเรื่องน่าขำเมื่อคุณมองดูโพสความคิดเห็นของคนอื่นในเว็บอย่าง Youtube แล้วเจอข้อความลูกโซ่ประมาณว่า "ถ้าคุณไม่ส่งต่อข้อความนี้ คุณจะมีอันเป็นไปในไม่ช้า" ใช่ผมเคยเจอข้อความแบบนี้เป็นร้อยๆ และผมก็ไม่เคยเจอว่าข้อความไหนมันเป็นจริงซักที

แน่นอนผมลืมมันไป


จนกระทั่งเธอเข้ามาหาผมจากทางด้านหลัง


มันเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ มีเงาแปลกๆที่พื้นห้องโถง มันแย่ลงเรื่อยๆ ผมได้ยินเสียงกระซิบประหลาดในหัวผม เสียงหัวเราะคิกคัก และเสียงฝีเท้า ถึงแม้ว่าในบ้านจะมีเพียงผมอยู่คนเดียวก็ตาม

แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือกระจกห้องน้ำ ระหว่างที่ผมกำลังแปรงฟัน ผมเห็น"เธอ"อยู่ตรงข้ามกระจก สาวสวยผมยาวสีดำ ใบหน้าซีดเซียว เธอยิ้มให้ผม พร้อมมีเลือดสีเข้มไหลเยิ้มออกมาจากปากของเธอ ผมไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเลือดของเธอหรือไม่ แต่สีหน้าของเธอเหมือนอยากจะลากผมไปอยู่กับเธอที่อีกฝั่งของกระจก

ขณะที่ผมกำลังจะเข้านอนคุณรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น


ผมได้ยินเสียงหัวเราะของเธอตลอดทั้งคือ ผมกลัวจนเอาหมอนมาปิดหน้าตัวเอง ทันใดนั้นมีบางอย่างเย็นเฉียบสัมผัสมือของผม ผมกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกนั้นค่อยๆลงมาที่ข้อศอก


"ออกมาเล่นกันเถอะ" เธอกระซิบผม ผมสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง แต่เธอก็หายไป


ความผิดพลาดที่สุดของผมคือหลังจากผมอาบน้ำและเปิดประตูออกจากห้องน้ำ...เธออยู่ตรงหน้าผมและโน้มตัวเข้ามาใกล้...ใกล้มากๆ ... ผมมองเห็นเลือดที่ริมฝีปากของเธอ ผมรู้สึกกลัวและพูดออกไปว่า


"ทำไม...ทำไมถึงต้องทำแบบนี้"


เธอเสยะยิ้มพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดที่ไหลออกจากปาก พร้อมตอบผมว่า "เพราะนายรู้ความลับของฉันไงล่ะ" ...ใช่แล้ว เธอพูดถึงข้อความลูกโซ่ที่ผมได้อ่านก่อนหน้านี่ ซึ่งผมคิดว่ามันไม่มีทางเป็นเรื่องจริง


ในตอนนี้...ผมไม่สามารถมีชีวิตได้อีกต่อไปแล้ว ผมไม่อยากอยู่คนเดียว ...ผมจะไปหาเธอ


พระเจ้า...ผมขอโทษ


เธอจะไปหาคุณ...เร็วๆนี้

Request

อยากให้ทางเราแปลบทความ Creepypasta หรือบทความสยองขวัญอะไรก็ได้ ทางหน้านี้เลยครับ Comment ด้านล่างได้เลย อาจได้ช้านะครับ ถ้าเนื้อเรื่องยาว

Closet Game

เกมตู้เสื้อผ้าเป็นเกมเหนือธรรมชาติ หรือเกมผีชนิดหนึ่งซึ่งมีผู้เล่นหนึ่งถึงสองคน เป้าหมายของเกมนี้คือ
การ "อัญเชิญปีศาจ"

คำเตือน : เกมนี้เป็นเกมที่อันตรายมากถึงมากที่สุด การเรียกปีศาจออกมาอาจทำให้ผู้เล่นถูกสิงหรือถูกลากไปยังดินแดนแห่งความมืดมิดตลอดกาล

สำหรับเกมนี้ สิ่งที่ต้องใช้คือไม้ขีดไฟและห้องนอน ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีตู้เสื้อผ้าในห้องนอนนั้นด้วย ผู้เล่นจะเล่นคนเดียวหรือหาเพื่อนมานั่งประกอบฉากด้วยก็ได้ ที่สำคัญคือเกมนี้ต้องเล่นตอนกลางคืน เกมนี้จะไม่ได้ผลภายใต้แสงอาทิตย์

ขั้นที่ 1 : หยิบไม้ขีดไฟ แล้วเดินเข้าไปในห้องนอน (ซึ่งมีตู้เสื้อผ้าด้วย !)

ขั้นที่ 2 : ปิดไฟทุกดวงในห้อง สำหรับเกมนี้ ห้องทั้งห้องจะต้องมืดสนิท ถ้ามีหลอดไฟในตู้เสื้อผ้าก็อย่าลืมปิดด้วย

ขั้นที่ 3 : เปิดประตูตู้เสื้อผ้า ก้าวเข้าไปด้านใน แล้วปิดประตู

ขั้นที่ 4 : ยืนในความมืดราว ๆ 2 นาที โดยหันหน้าไปทางประตูตู้

ขั้นที่ 5 : หยิบไม้ขีดขึ้นมาถือตรงหน้าหนึ่งก้าน แล้วกล่าวว่า "เปล่งแสงสว่าง หรือไม่ก็ทิ้งฉันไว้ในความมืด"

ขั้นที่ 6 : ตั้งใจฟัง ถ้าผู้เล่นได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นมาจากด้านใน ให้รีบจุดไม้ขีดทันที แต่ถ้าผู้เล่นไม่ได้ยินเสียงกระซิบ หรือไม้ขีดไม่ติดขึ้นมาเอง จงอย่ากลับหลังหัน ถ้าผู้เล่นจุดไม้ขีดช้าเกินไปหลังจากได้ยินเสียงกระซิบ ผู้เล่นจะถูก "อะไรบางอย่าง" ดึงจากด้านหลังและพาไปยังดินแดนแห่งความมืดมิดตลอดกาล

ขั้นที่ 7 : ดูให้แน่ใจว่าไม้ขีดติดตลอดเวลา อย่าทำมันดับ ถ้าไม้ขีดดับ ให้รีบจุดก้านใหม่ทันที

ขั้นที่ 8 : ถือไม้ขีดไว้ตรงหน้า ค่อย ๆ เปิดประตูแล้วก้าวออกมา อย่าหันกลับไป ปิดประตูตู้โดยห้ามหันกลับไปดูเด็ดขาด

---

ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป จงเปิดตู้เสื้อผ้าในที่สว่างเสมอ ถ้าเผลอเปิดประตูตู้เสื้อผ้าทิ้งไว้ในความมืดยามค่ำคืน คุณจะเห็นปีศาจจ้องคุณมาจากในตู้นั้น...ด้วยดวงตาสีแดงลุกวาวเหมือนแสงจากไม้ขีดไฟ

The Rake

ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ ในหน้าร้อนปี ค.ศ.2003 มีข่าวลือเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตประหลาด มีคน
หลายคนเป็นพยาน แต่ดูเหมือนว่าข้อมูลของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ในอินเตอร์เน็ตมันจะถูกลบไปจนหมดจากใครบางคน
ต้นปี ค.ศ. 2006 การพบเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดนี้เริ่มแพร่กระจายไปมากขึ้น ผมได้ติดต่อคนบางส่วนที่พบเจอกับมัน และได้ขอบันทึกส่วนตัวของพวกเขาที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาด้วย

A Suicide Note: 1964

"ขณะที่ผมกำลังจะเริ่มชีวิตในวันใหม่ ขณะที่กำลังลืมตาตื่นสายตาที่เลือนลางของผมมองเห็นมัน ผมไม่สามารถนอนหลับได้เมื่อนึกถึงดวงตาของมัน และ ผมไม่สามารถที่จะตื่นได้อีก...ลาก่อน"

พบจดหมายสองฉบับที่จ่าหน้าถึงโรสและวิลเลียมในกล่องไม้

"ผมได้ภาวนาให้เขากล่าวชื่อของคุณ"

A Journal Entry (แปลจากภาษาเสปน): 1880

"ผมได้สัมผัสกับความกลัวที่เหนือคำบรรยายใดๆ ดวงตาของมันดำมืดและดูเหมือนว่าจะกลวงทะลุเข้าไปในข้างใน มือของมันเปียกชุ่มเลือดคาวๆ เสียงของมัน!@#$!@(ข้อความที่อ่านไม่ออก)"

A Mariner's Log: 1691

"มันมาหาผมขณะที่ผมนอนหลับ ขณะผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ปลายเท้าของผม เราจะต้องรีบกลับไปที่อังกฤษ เราจะไม่มาที่นี่อีก ตามคำบอกของThe rake"

From a Witness: 2006

สามปีที่แล้วตอนที่ฉันกลับมาจากน้ำตกในวันที่ 4 กรกฎาคม เราทุกคนเหนื่อยล้าจากกับเดินทางที่ยาวนาน เมื่อกลับถึงบ้านสามี ลูกๆ และตัวฉันเอง นอนบนเตียงเดียวกันด้วยความอ่อนแรง
กลางดึกประมาณตีสี่ ฉันถูกปลุกโดยสามีของฉันที่นอนอยู่ข้างๆ ฉันจ้องมองไปที่ใบหน้าของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะหวาดกลัวกำบางสิ่งที่อยู่ปลายเตียง มันมืดมากฉันมองเห็นมันได้ไม่ชัดเท่าไหร่ มันมีรูปร่างเหมือนคน ดวงตาสีดำ หรือ อาจกลวงโบ๋ กรงเล็บยาวมากๆผิวหนังเปลือยสีเทา ในขณะที่ฉันเริ่มกลัวเมื่อมองเห็นตัวมันชัดขึ้นเรื่อยๆ มันใช้กรงเล็บแทงมาที่ลูกสาวที่อยู่ระหว่างฉัน กับ สามี เล็บของมันแทงทะลุลำตัวของเธอ "โอ้ย" ลูกสาวของฉันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ก่อนที่มันจะวิ่งหนีไป

ด้วยความตกใจ สามีฉันกอดลูกที่บาดเจ็บสาหัสเอาไว้ ส่วนฉันก็กำลังช็อคทำอะไรไม่ถูก ลูกสาวของฉัน คาล่ากระซิบข้างหูฉันเบาขณะที่กำลังจะสิ้นใจ "เขาคือ The Rake"
ในคืนนั้นเอง สามีของฉันขับรถพุ่งลงไปยังแม่น้ำอย่างไม่มีเหตุผล

เมื่อสามีกับลูกสาวของฉันเสียชีวิต ฉันที่กลัวว่าไอตัวบ้านั่นจะกลับมาอีกได้ย้ายบ้านไปอยู่ใกล้ๆกับบ้านของพ่อแม่ ตอนนี้เหลืออยู่แค่ฉันกับลูกชายชื่อจัสตินเท่านั้น

ฉันและลูกชายย้ายไปอยู่ในโรงแรมใกล้บ้านพ่อแม่ของฉัน หลังจากที่จะตัดสินใจที่จะกลับบ้าน ฉันได้มองหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันได้พบเจอ ฉันได้พบเจอกับคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้เหมือนกับฉัน เขาเรียกมันว่า the Rake
ฉันได้ตั้งกล้องดิจิตอลไว้รอบเตียงของฉัน ให้มันบันทึกทุกสิ่งตอนที่ฉันนอนหลับ ปลายสัปดาห์ที่สองหลังจากที่ฉันดูคลิปที่ถ่ายไว้ตอนที่ฉันนอนหลับ มีบางช่วงที่ภาพในวีดีโอมันเบลอไป แต่ฉันก็ยังคงตั้งกล้องไว้เหมือนเดิม
เมื่อตอนช่วงต้นสัปดาห์ที่สาม กล้องดิจิตอลได้บันทึกติดเสียงบางอย่างได้ ฉันรู้ว่ามันเป็นเสียงแหลมๆของ The rake ฉันไม่สามารถทนฟังมันได้จนจบ

ฉันไม่ได้เจอ The rake อีกเลยหลังจากที่มันทำลายชีวิตของฉัน ด้วยการพราก สามี และ ลูกสาว ไป

ฉันกลัวที่จะตื่นมาและพบกับอสูรกายที่นัยน์ตากลวงโบ๋ตัวนั้นอีก. . .แม้ว่ามันจะจ้องมองฉันอยู่ทุกคืน

The Message

อย่าคิดว่านี่เป็นเรื่องตลก เรื่องราวต่อไปนี้มีเหตุผลของมันอยู่ ขอให้คุณมาลองฟังผมดู

มองดูสิ ทุกคนเชื่อกันว่าในอนาคตเราสามารถจะเดินทางข้ามเวลาได้ใช่มั้ย โอเค ผมจะบอกอะไรให้คุณอย่างนึงคือ สิ่งที่คุณเชื่อมันเป็นไปได้แล้ว ผมมาจากโลกอนาคต ผมรู้ว่าคุณอาจจะไม่เชื่อผม แต่ผมพูดจริงๆว่าผมมาจากอนาคต มันเป็นสิ่งที่วิเศษจริงๆ ได้เห็นอะไรหลายๆอย่างในอดีต เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเรารู้สิ่งต่างๆดีกว่าแต่ก่อน

ข้างหลัง ของความสนุกทั้งหมด มันมีเรื่องเครียดอยู่เรื่องนึง เราไม่สามารถที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอดีตของตนเองได้ และพวกเราไม่อนุญาตที่จะให้ติดต่อกับตัวเราในอดีตเด็ดขาด คือผมจะบอกคุณว่า ผมได้แหกกฎข้อนั้นซะแล้ว ใช่แล้ว ตอนนี้คุณกำลังพูดอยู่กับตัวเองอยู่ คือผม ตัวคุณในอนาคตนั่นล่ะ ผมกำลังจะโดนประหารในไม่ช้า ผมรับโทษประหารนั้น ผมกำลังจะปกป้องคุณโดยการพูดกับคุณอยู่ซึ่งเป็นโทษที่หนักกว่าการตาย ผมบอกคุณไปตรงๆไม่ได้ว่าจะให้คุณทำยังไง เพราะว่าอาจจะมีคนจับได้ นี่คือสิ่งที่ผมทำเท่าที่จะทำได้ เชื่อผม ผมได้ส่งข้อความลับผ่านข้อความนี้แล้ว

คุณน่าจะลองอ่านคำแรกของทุกย่อหน้าแล้วมาเรียงต่อกัน เดี๋ยวนี้เลย

Abandoned PokéDoll

มันเคยเป็นตุ๊กตาตัวโปรดของเธอ เธอเคยนำมันไปด้วยไม่ว่าจะเป็นที่ไหน แห่งหนใดก็ตาม .. กำไว้อย่าง
เหนียวแน่นในมือน้อยๆ คู่นั้น ตุ๊กตากับเธอทำทุกอย่างร่วมกัน ไม่ว่าจะไปโรงเรียน นอนเคียงข้าง ทานอาหารเย็น แม้กระทั่งอาบน้ำตุ๊กตาตัวนี้ก็ยังถูกหิ้วเอาไปด้วย

ทั้งสองไม่เคยแยกจากกัน เด็กหญิงเคยสัญญาว่า ในวันแรกที่เธอจะได้เป็นเทรนเนอร์ เธอจะพามันไปด้วย เธอจะพามันไปด้วยไม่ว่าที่ไหนๆ เพื่อเอาไว้ระลึกถึงความหลังในวัยเยาว์

ถึงแม้ว่าตุ๊กตาตัวนี้จะดูแปลกประหลาดไปบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไป มันคือของที่เธอชอบ ความแปลกประหลาดกลับกลายเป็นเอกลักษณ์ของตุ๊กตาตัวนั้น

แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานหลายปี เธอได้หันไปสนใจตุ๊กตาตัวอื่น การทอดทิ้งตุ๊กตาตัวเก่าเพื่อไปหาตุ๊กตาตัวใหม่มันอาจดูไม่เข้าท่า แต่ตุ๊กตาตัวนั้นก็ทั้งสกปรกทั้งเก่ามากแล้ว ตุ๊กตาตัวนั้นจึงถูกโยนทิ้งไป

มันนอนอยู่ในกองขยะ รายรอบด้วยถุงขยะและพลาสติกห่ออาหารมากมาย

ไม่เหมือนที่ที่มันเคยอยู่ .. ไม่เลย
.
.
.
.
.
.
แขนของตุ๊กตาขยับช้าๆ มือจิกลงบนถุงขยะสีดำ ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธ ซิบที่เป็นปากขยับกลายเป็นบึ้งตึงโกรธแค้น

บาเน็ต (Banette) ได้โผล่ขึ้นมาจากกองขยะ พร้อมที่จะออกตามหาเด็กผู้หญิงที่ทอดทิ้งตัวเองคนนั้น
.
.
.
.
.
.
บ้านเรือนในละแวกนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แต่ว่า .. นี่มันนานขนาดไหนกันแล้วนะ? บาร์เน็ตไม่ได้ใช้เวลาอยู่แถวนั้นนานเท่าไหร่ มันก็จะได้พบกับสาวน้อยคนนั้นอีกครั้ง และโอบกอดเธออย่างรักใคร่

ขยะ ล้อเล่นอะไรกัน ใครจะไปทิ้งได้? ตุ๊กตาสุดที่รักไม่สมควรที่จะได้รับการดูแลแบบนี้ เธอเก็บรักษาตัวโปรดตัวนี้มาตลอด เธอไม่เคยโยนมันทิ้งไปไหนนะ

ยิ่งมองเห็นบ้านที่คุ้นเคยใกล้เข้ามาเท่าไหร่ ความไม่พอใจยิ่งพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ บ้านของเธออยู่อีกไม่ไกลนัก อีกแค่ไม่กี่หลังเท่านั้น
.
.
.
.
.
ในที่สุด บ้านหลังนั้นก็อยู่ในระยะสายตา หน้าต่างเปิดอยู่ บาเน็ตลอยเข้าไปที่ปฏิทิน พรุ่งนี้จะเป็นวันเกิดครบรอบสิบขวบของเธอ เธอจะได้เป็นเทรนเนอร์ในวันพรุ่งนี้

บาเน็ตเฉือนปฏิทินอย่างแรงด้วยกรงเล็บของมัน จะเป็นเทรนเนอร์ยังงั้นเหรอ? ไม่มีทางซะหรอก

การทำลายเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ลำคอของตุ๊กตาทุกตัวถูกกรีดเป็นทางยาว นุ่นที่ถูกยัดเอาไว้ทะลักออกมา ตุ๊กตาเหล่านั้นร่วงลงพื้นอย่างเงียบเชียบ

ไม่ ..แค่นี้มันยังไม่พอ.. เด็กหญิงอาจจะซื้อตุ๊กตาตัวใหม่ และสุดท้ายมันตัวนี้ก็จะถูกส่งกลับไปที่กองขยะเหมือนเดิม
.
.
.
.
.
แต่มันยังมีทางแก้ไขง่ายๆ อยู่ …อย่างน้อยนะ
.
.
.
.
เธอแทบไม่มีโอกาสได้กรีดร้องออกมา มีเพียงแค่เสียงคร่ำครวญอยู่ในลำคอขณะที่กรงเล็บเฉือนผ่านเนื้อ หลงเหลือไว้แค่เพียงรอยตัดเป็นทางยาวอยู่บนลำคอของเธอ
.
.
.
และแล้วเธอก็ไม่สามารถทอดทิ้งตุ๊กตาของเธอได้อีกต่อไป

The Russian Sleep Experiment

นักทดลองชาวรัสเซียช่วงปลายปี 1940 ได้กักตัวนักโทษไว้ 5 นายให้ไม่ให้นอนเป็นเวลา 15 วันโดยใช้
แก๊สชนิดหนึ่งเป็นตัวกระตุ้นไม่ให้นอนหลับ พวกเขาถูกกักขังไว้ในสภาพแวดล้อมที่ปิดตายแล้วส่งแก๊สออกซิเจนเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวังเพิ่อไม่ให้แก๊สนั้นฆ่าพวกเขา ซึ่งเป็นแก๊สที่มีความเข้มข้นสูง พวกเขามีเพียงแค่ไมโครโฟนและหน้าต่าง กลมๆหนา 5 นิ้วข้างในห้องเพื่อที่จะใช้สังเกตุการณ์พวกเขา ภายในห้องนั้นมีหนังสืออยู่หลายเล่ม มีเตียงนอนแต่ไม่มีเครื่องนอน มีน้ำและห้องน้ำ และมีอาหารแห้งอยู่พอสำหรับ 5 คนใช้ชีวิตได้ทั้งเดือน

นักโทษหรือหนูทดลองทั้งห้าคนนี้ถูกจับใช้เป็นเชลยศึก ซึ่งเป็นนักโทษจากสงครามโลกครั้งที่สอง

ทุกๆอย่างดูราบรื่นในห้าวันแรก นักทดลองได้ให้สัญญาแบบหลอกๆกับนักโทษว่าพวกเขาจะถูกปล่อยตัวเป็นอิสระถ้าสามารถทำการทดลองสำเร็จ และไม่หลับเป็นเวลา 30 วัน บทสนทนาและกิจวัตรประจำวันของนักโทษจะถูกสังเกตุการณ์และจดบันทึก ซึ่งพวกเขาได้พูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เจ็บปวดใจในอดีตของพวกเขา แล้วน้ำเสียงของพวกเขาในการ พูดดูหดหู่ เศร้าหมองลงหลังจากสี่วันในการทำการทดลอง

ห้าวันต่อมานักโทษเริ่มพูดถึงสิ่งที่พวกเขาทำ หรือเหตุการณ์ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมาเป็นนักโทษอยู่ที่นี่ ต่อมาก็เริ่มแสดงอาการหวาดระแวงอย่างรุนแรง พวกเขาเริ่มหยุดพูดซึ่งกันและกัน แล้วเริ่มสลับกันมากระซิบที่ไมโครโฟนและส่องดูตัวเองผ่านหน้าต่างที่มีอยู่อันเดียวในห้องนั้น นักโทษทั้งหมดดูเหมือนจะคิดว่าพวกเขาจะถูกปล่อยตัวให้เป็นอิสระถ้าพวกเขาไม่ยุ่งกับพวกเดียวกันแล้วมาเข้าฝั่งเดียวกันกับรัสเซีย ในตอนแรกนั้นนักวิจัยคิดว่าอาจจะเป็นผลข้างเคียงจากแก๊สที่ทำให้นักโทษไม่นอนหลับก็เป็นได้

เก้าวันต่อมาหนึ่งในห้าคนนั้นเริ่มกรีดร้อง เขาวิ่งไปที่มุมห้องแล้วแหกปากโวยวายซ้ำไปซ้ำมาสุดเสียงของเขาเป็นเวลาสามชั่วโมงตรง เขาพยายามที่จะร้องต่อแต่เขาไม่มีเสียงเหลือแล้ว จะออกมาก็แต่เสียงแหลมเล็กๆออกมาเป็นครั้งคราว นักทดลองคิดว่ากล่องเสียงของเขาคงฉีกขาดแน่ๆ สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดของการทดลองนี้คือไม่ว่านักโทษจะมีปฏิกิริยาอย่างไร หรือไม่มีปฏิริยาอะไรเลยก็ตาม พวกเขาก็ยังคงไปกระซิบที่ไมโครโฟนอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งนักโทษคนที่สองเริ่มที่จะกรีดร้อง นักโทษที่เหลือได้หยิบหนังสือแล้วเดินห่างออกไป แล้วเริ่มละเลงหนังสือทีละหน้าทีละหน้าด้วยอุจจาระของเขา แล้วเอามันไปแปะที่หน้าต่างอย่างใจเย็น เสียงกรีดร้องนั้นได้หยุดภายในพริบตา

แล้วเสียงกระซิบของไมโครโฟนล่ะ? สามวันผ่านไป นักทดลองได้ตรวจไมโครโฟนอยู่เป็นชั่วโมงเพื่อให้แน่ใจว่ามันยังใช้การได้อยู่ เพราะพวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่อยู่ๆมันจะไม่มีเสียงมาจากคนห้าคนภายในห้องนั้น แถมแก๊สออกซิเจนที่ส่งเข้าไปที่ห้องตลอดนั่นหมายความว่าทั้งห้าคนจะต้องมีชีวิตอยู่แน่นอน ในตอนเช้าของวันที่ 14 นักทดลองได้ใช้เครื่องอินเตอร์คอม (เครื่องติดต่อภาย ใน) โดยหวังว่าจะได้รับการตอบรับจากนักโทษ ซึ่งพวกเขาเกรงว่านักโทษได้ตายไปแล้วนักทดลองได้พูดไปว่า "พวกเราจะเปิดห้องทดลองเพื่อตรวจไมโครโฟน ถอยห่างออกไปจากประตูแล้วนอนราบลงไปกับพื้นไม่งั้นพวกคุณโดนยิงแน่ พวกคุณควรยอมเชื่อฟังทุกอย่างจะทำให้พวกคุณเป็นอิสระได้ในไม่ช้านี้แน่นอน"

มีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นเมื่อมีเสียงตอบรับจากนักโทษคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "พวกเราไม่อยากถูกปล่อยตัวอีกแล้วล่ะ" หลังจากห้องทดลองถูกเปิดออกมา ห้องที่เต็มไปด้วยแก๊สต่างๆก็หมดไปมีอากาศบริสุทธิ์เข้ามาแทน ทันใดนั้นก็มีเสียงมาจากไมโครเฟนสามเสียงต่างกัน เริ่มขอร้องให้นักทดลองนั่นเอาแก๊สเข้ามาในห้องเหมือนเดิม ห้องทดลองถูกเปิดแล้วทหารก็เข้าไปดูอาการของนักโทษ นักโทษเริ่มกรีดร้องด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม เมื่อทหารได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างในห้องนั้น สี่ในห้าคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็คงไม่มีใครเรียกสี่คนนั้นอยู่ในสภาพที่เหมือนกับ "มีชีวิตอยู่"

ที่จริงก็คือปริมาณอาหารนั้นหมดไปตั้งแต่ห้าวันที่แล้ว ทหารได้พบก้อนเนื้อต้นขาของนักโทษที่ตายไปแล้ว หน้าอกถูกทิ้งไว้ที่ท่อระบายน้ำตรงกลางของห้องทดลอง ท่อตันจึงมีน้ำไหลออกมาเต็มห้อง ซึ่งตอนนี้ห้องเต็มไปด้วยเลือดที่ผสมกับน้ำ กลายเป็นน้ำเลือดแดงไปทั่วห้องทดลอง นักโทษทุกคน"ที่รอดชีวิต"มีชิ้นส่วนอวัยวะและผิวหนังที่ถูกฉีกออกไปจากร่าง ของพวกเขาเอง นักทดลองเห็นกระดูกที่โผล่ออกมาจากปลายนิ้วซึ่งแผลนั้นถูกทำโดยมือของพวกเขาเอง ซึ่งนักทดลองตอนแรกคิดว่าแผลพวกนั้นอาจเกิดจากฟัน เมื่อสังเกตใกล้ๆตำแหน่งและขนาดของบาดแผลแล้ว นักทดลองคิดว่านักโทษสี่คนนี้ได้ทำการทรมานตนเอง อวัยวะเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารของนักโทษทั้งสี่นั้นถูกเอาออกไปเกือบหมด ในขณะที่หัวใจ ปอดและกะบังลมยังคงอยู่ ผิวหนังและกล้ามเนื้อที่ติดกับกระดูกก็ได้ถูกฉีกออกไป เผยให้เห็นปอดข้างในซี่โครง เส้นเลือดต่างๆยังอยู่ครับถ้วน พวกเขานอนอยู่กับพื้น คว้านท้องให้กระจัดกระจาย ระบบย่อยอาหารของทั้งสี่คนยังทำงานได้เป็นปกติ หน้าท้องที่เปิดอยู่โดยปราศจากผิวหนังมาหุ้มแสดงให้เห็นข้างในว่าพวกเขาได้ย่อยอวัยวะของพวกเขาเองซึ่งตัดออกมากินลงไปตั้งแต่วันที่อาหารหมดแล้วนั่นเอง ทหารรัสเซียส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่นั้นเป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษ แต่ทหารส่วนใหญ่ก็ปฏิเสธที่จะกลับเข้าไปที่ห้องทดลองนั้นอีก นักโทษยังคงกรีดร้องและขอให้ปล่อยแก๊สกลับเข้ามาที่ห้องอีกครั้งนึง

ทุกคนเริ่มแปลกใจเมื่อนักโทษเริ่มต่อสู้ต่อต้านสุดกำลังเมื่อกำลังจะถูกนำออกจากห้องทดลอง ทหารรัสเซียคนหนึ่งตายเนื่องจากคอของเขาฉีกขาด คนอื่นๆก็บาดเจ็บอย่างหนักเนื่องจากลูกอัณฑะของเขาถูกฉีกออกและเส้นเลือดที่ขาของเขาก็ขาดออกจากฟันของนักโทษคนหนึ่ง ทหารห้าคนที่เหลือก็เสียชีวิต รวมกับทหารคนนึงที่ฆ่าตัวตายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น

ระหว่างการปะทะนั้นเอง จู่ๆหนึ่งในสี่ของนักโทษที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เกิดอาการม้ามแตกแล้วกระอักเลือด หน่วยแพทย์พยายามจะรักษาเขา นักโทษคนนั้นถูกฉีดสารมอร์ฟีนมากกว่าสิบครั้ง แต่นักโทษคนนั้นก็ยังดิ้นสู้แบบสุนัขจนตรอก หักแขนหักขาของแพทย์นายหนึ่ง สองนาทีผ่านไปหลังจากที่เขากระอักเลือด หัวใจที่เต้นให้เห็นอยู่ตอนนี้ได้มีอากาศเข้าไปในระบบไหลเวียนโลหิตมากกว่าเลือดแล้ว เขายังคงกรีดร้องอยู่ประมาณสามนาที พยายามที่จะทำร้ายใครก็ตามที่อยู่ใกล้ๆเขาแล้วพูดคำว่า "เอาอีก เอามาให้มากกว่านี้" ซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งสิ้นลมหายใจ

นักโทษสามคนที่เหลือถูกควบคุมอย่างรัดกุมแล้วย้ายไปยังสถานพยาบาล นักโทษสองคนที่กล่องเสียงยังปกติก็ยังคงตะโกนขอร้องให้มีการปล่อยแก๊สนั้นกลับมาเพื่อที่จะทำให้พวกเขาตื่นตลอดเหมือนเดิม

นักโทษทั้งสามที่บาดเจ็บสาหัสถูกพาไปยังห้องผ่าตัดห้องเดียวที่มีอยู่ ระหว่างเตรียมการผ่าตัดที่จะนำอวัยวะกลับเข้าไปในร่างกายของนักโทษร่างกายของนักโทษนั้นไม่ทำให้ยานอนหลับออกฤทธิ์ได้ เขาดิ้นรนอย่างรุนแรงกับที่รัดตัวเขาระหว่างที่ทีมแพทย์กำลังจะฉีดยาชาเข้าไป นักโทษคนนั้นพยายามที่จะฉีกยางหนังรัดที่พันธนาการร่างของเขากว้างประมาณสี่นิ้วบริเวณข้อมือของเขา จนต้องให้ทหารหนัก 200 ปอนด์มาควบคุมเขาจึงหยุด ทางแพทย์จึงฉีดยาชาเข้าไปมากกว่าเดิมนิดหน่อย ทันใดนั้นตาของเขาก็ปิดลง หัวใจของเขาหยุดเต้น ศพจึงนำไปชันสูตร แล้วพบว่าเลือดของนักโทษคนนี้มีระดับปริมาณออกซิเจนมากกว่าคนปกติถึงสามเท่า ผิวหนังยังติดกับกระดูกก็ฉีกขาด มีกระดูกหัก 9 ซี่ ซึ่งเกิดจากการต่อสู้กับทหารในตอนนั้น

นักโทษที่เหลือรอดคนที่สองก็เริ่มกรีดร้อง จนกล่องเสียงของเขาพังทำให้ไม่สามารถขอ หรือคัดค้านการผ่าตัดได้อีก สิ่งที่เค้าทำระหว่างการผ่าตัดคือสั่นหัวไปมาอย่างรุนแรงระหว่างที่ยาชากำลังจะเข้าไปในร่างกายเขา แต่ว่าครั้งนี้ทีมแพทย์จะลองผ่าตัดโดยไม่ใส่ยาชา นักโทษก็ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรระหว่างหกชั่วโมงในการนำอวัยวะกลับเข้าร่างกายแล้วปิดทับด้วยผิวหนังที่เหลืออยู่ของนักโทษคนนั้น มีความเป็นไปได้ทางการแพทย์ที่นักโทษคนนี้ที่จะมีชีวิตอยู่ พยาบาลคนนึงที่ได้อยู่ในการผ่าตัดครั้งนั้นได้บอกว่าเธอเห็นปากของนักโทษคนนั้นหงิกงอจนดูเหมือนเค้ากำลังยิ้มอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่นักโทษคนนั้นมองหน้าเธอ

นักโทษสองคนที่เหลือก็เข้ารับการผ่าตัดเหมือนคนก่อนหน้า ทั้งคู่ไม่ได้รับยาชาเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะโดนฉีดยาที่ทำให้เป็นอัมพาตระหว่างการผ่าตัดก็ตาม เพราะว่าทีมแพทย์ไม่สามารถผ่าตัดได้ถ้าคนไข้เอาแต่หัวเราะอยู่ตลอด หลังจากถูกฉีดยาที่ให้เป็นอัมพาตแล้วนักโทษก็เพียงแค่จ้องตานักทดลองเท่านั้น หลังผ่าตัดเสร็จ นักโทษกลับมาพูดได้ดังเดิมแล้วเริ่มถามหาแก๊สนั้นอีก ทางด้านนักทดลองถามนักโทษว่าทำไมนักโทษถึงต้องทรมานตนเอง ทั้งเรื่องที่ควักเอาไส้ในออกมาและเรื่องที่เอาแต่ร้องขอให้แก๊สกลับมา นักโทษคนนึงตอบกลับมาว่า "ยังไงพวกเราก็จะไม่มีทางหลับเด็ดขาด"

นักโทษทั้งสามถูกส่งตัวกลับไปที่ห้องโดยที่นักทดลองกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับพวกเขาดี เหล่าทหารที่ช่วยเหลือนักทดลองมาตลอดโกรธนักทดลองที่ไม่สามารถทำให้การทดลองประสบความสำเร็จได้ ผู้บังคับบัญชาทหารอยากจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้านักโทษนั้นกลับไปในห้องแล้วปล่อยแก๊สชนิดนั้นอีกครั้งนึง

ในขั้นเตรียมการก่อนที่จะปิดตายห้องทดลองนั้นอีกทีนั้น นักโทษทุกคนจะถูกเชื่อมต่อกับเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าในสมอง (EEG) และถูกพันธนาการอย่างหนาแน่นโดยมีเบาะรองด้านหลัง ทุกคนประหลาดใจว่านักโทษทั้งสามหยุดที่จะต่อต้านตอนที่จะถูกพาเข้าไปรับแก๊สนั้นอีกครั้ง นักโทษคนนึงที่พูดได้อยู่ก็ได้ฮัมเพลงออกมาดังมากอย่างต่อเนื่อง นักโทษที่พูดไม่ได้ก็เบ่งกล้ามเนื้อขาให้มากที่สุดเท่าที่เค้าจะทำได้กับสายหนังที่พันธนาการร่างของเขาอยู่ นักโทษคนสุดท้ายได้ใช้มือจับหัวของเขาออกมาจากหมอนแล้วกระพริบตาซ้ำไปซ้ำมา ผลการตรวจไฟฟ้าคลื่นสมองของนักทดลองนั้นสร้างความประหลาดใจอย่างมาก คลื่นสมองส่วนใหญ่เหมือนคนปกติแต่บางครั้งก็เป็นเส้นตรงขึ้นมาอย่างลึกลับ มันดูเหมือนกับว่านักโทษแกล้งทำเป็นสมองตาย และกลับมาให้มีชีวิตใหม่ได้ เมื่อพวกเขามองไปที่กระดาษที่บันทึกคลื่นสมองนั้น นางพยาบาลคนนึงเห็นว่าตาของนักโทษที่กระพริบตาคนนั้นปิดลงไปเวลาเดียวกับที่หัวของเขากลับไปที่หมอน ก่อนที่เส้นกราฟกลายเป็นเส้นตรงยาวต่อเนื่อง จากนั้นหัวใจของเขาก็หยุดเต้น

นักโทษคนที่พูดไม่ได้นั้นเปลี่ยนจากการอัมเพลงไปเป็นการกรีดร้องในห้องทดลองนั้น คลื่นสมองของเขาแสดงให้เห็นเป็นเส้นตรงแบบเดียวกับนักโทษคนที่ไหลตายไป ผู้บังคับบัญชาทหารสั่งให้ปิดตายห้องทดลองนั้น ไปพร้อมกับนักโทษ ตัวเขาเองแล้วนักทดลองอีกสามคน นักทดลองคนหนึ่งได้ชักปืนออกมาแล้วยิงไปที่ผู้บังคับบัญชาคนนั้นกลางเบ้าตาตายทันที แล้วหันกระบอกปืนไปที่นักโทษที่พูดไม่ได้แล้วเป่าสมองกระจุย

จากนั้นเขาก็ชี้ปืนไปยังนักโทษที่เหลือคนสุดท้าย ยังคงถูกพันธนาการไว้กับเตียงเหมือนกับนักโทษทุกคน "กูจะไม่ถูกขังไว้ในห้องนี้กับไอ้พวกนี้หรอก ไม่แน่ๆกับมึง!" จากนั้นนักทดลองคนนั้นก็ถามนักโทษว่า "มึงเป็นใครกันแน่" "กูจะต้องรู้ให้ได้"

นักโทษคนนั้นยิ้ม

"คุณลืมไปแล้วยังงั้นหรือ?" นักโทษถาม "พวกเราคือคุณ พวกเราคือความคุ้มคลั่งที่ซ่อนอยู่ภายในตัวคุณทุกคน ต้องการที่จะเป็นอิสระทุกช่วงขณะอยู่ภายใต้จิตสำนึกของสิ่งมีชีวิต พวกเราเป็นสิ่งที่คุณต้องการจะซ่อนอยู่ใต้เตียงของคุณทุกๆคืน พวกเราคือสิ่งที่คุณจะเงียบและทำเป็นไม่ขยับเมื่อคุณไปหลบอยู่ในสถานที่ๆพวกเราไม่สามารถเข้าไปถึงได้(เหมือนกับเหยื่อที่หลบการล่าจากผู้ล่า)"

นักทดลองคนนั้นหยุดชะงัก จากนั้นเล็งไปที่หัวใจของนักโทษแล้วยิง กราฟเครื่องตรวจคลื่นสมองของนักโทษคนนั้นกลายเป็นเส้นตรง นักโทษคนนั้นก็ใช้กำลังที่เหลืออยู่พูดประโยคสุดท้ายออกมาว่า "เกือบที่จะได้เป็น....อิสระ....อยู่แล้วเชียว..."

The Bell Witch

คุณเคยฆ่าสัตว์แปลกๆที่คุณพบเจอโดยบังเอิญหรือไม่ ? การกระทำท่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆแต่มัน
อาจเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล

ในปี ค.ศ. 1817 ชายคนหนึ่งชื่อ จอห์นเบลล์ ได้ซื้อที่ดินจำนวนมากจากเกษตรกร ชื่อ โรเบิร์ตเคาน์ตี้ เทนเนสซี ไม่นานหลังจากที่เขาย้ายไปอยู่ที่นั่น ในขณะที่เขาล่าสัตว์ในที่ดินส่วนตัวอย่างเพลิดเพลิน เขาได้ยิงถูกสัตว์ประหลาดดดยไม่ได้ตั้งใจ
ปัง! เสียงปืนลั่นออกจากกระบอกปืนไรเฟิลล่าสัตว์ กระสุนเจาะเข้าร่างของสัตว์ประหลาด เขารีบตรงดิ่งไปดูสิ่งที่เขายิง มันเป็นสัตว์ประหลาด มีหัวเหมือนกระต่าย และ ตัวคล้ายสุนัข เขาตกใจมาก จึงรีบวิ่งกลับบ้านไป
ในเวลาต่อมา ครอบครัวของเขาเริ่มได้ยินเสียงประหลาดมันเหมือนกับเสียงสัตว์กำลังแทะไม้เสียงดังน่ารำคาญจากนอกบ้าน ทว่าเขากลับไม่พบต้นตอของเสียง ต่อมาเริ่มมีเสียงกระซิบประหลาดลอยมาตามลม ละเสียงระฆังที่ราวกลับว่ามีเหล่าวิญญาณกำลังใกล้เข้ามา
"ที่นี่คงมีของแถมมาให้แล้วล่ะ"
จอห์นเบลล์ตัดสินใจที่จะเชิญนักบวชมาชำระล้างที่ดินแห่งนี้ เสียงหัวเราะคิกคักของวิญญาณตามสายลม กระซิบว่า "มันไม่ได้ผล" ในระหว่างพิธี โต๊ะ เก้าอี้จำนวนมาก ถูกขว้างใส่เขาด้วยเวทย์มนต์ หรือ อะไรซักอย่าง แม้ว่าในมือของเขาจะถือไม้กางเขน และ น้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่ก็ตาม
เขาไม่สามารถหยุดเรื่องนี้ได้ แต่กลับทำให้มันเลวร้ายกว่าเดิม ในบางครั้งสิ่งของในบ้านของเขาจะพุ่งเข้าใส่ครอบครัวของเขาเองอย่างไม่มีที่มา ... มันอาจเป็นคำสาป

ข่าวเกี่ยวกับคำสาปนี้แพร่กระจายไปทั่ว แบบปากต่อปากอย่างรวดเร็ว มีคนจำนวนมากอยากมาพิสูจน์เรื่องของเขา หลายคนพยายามเข้ามาพิสูจน์
มีชายคนหนึ่งถึงกับมาค้างคืนที่บ้านของเขา แต่ในคืนนั้นเองชายคนนั้นก็รู้สึกเหมือนมีใคร หรือ อะไร บางอย่างคลานมาใกล้ๆเขาบนเตียง ชายคนนั้นตกใจสุดขีดจึงใช้ผ้าห่มคลุมสิ่งที่มองไม่เห็น แล้วจับมันโยนใส่เตาผิง

ขณะที่สถานการณ์ทั้งหมดเริ่มเลวร้ายขึ้น สุขภาพของจอห์นเบลล์ก็เสื่อมลงเรื่อยๆ เขาทุกข์ทรมานกับโรคประหลาดที่คุกคามร่างกาย แม้แต่หมอยังไม่สามารถรักษาเขาให้หายได้ ในที่สุดเขาก็เสียชีวิตลง ด้วยการถูกวางยา
ในงานศพของจอห์นเบลล์ ยังคงมีเสียงหัวเราะคิกคักของวิญญาณ ล่องลอยมาตามลม...

The expressionless

ในเดือนมิถุนายน ปี 1972 หญิงสาวผู้หนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นที่โรงพยาบาล Cedars-Sinai โดยที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงแค่เสื้อกาวน์สีขาวชุ่มเลือดห่อหุ้มร่างอยู่เท่านั้น ถ้าหากเรื่องเกิดขึ้นเพียงเท่านี้ ก็คงไม่น่าแปลกใจมากนัก เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ คนส่วนใหญ่ก็มักจะพาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมายังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอยู่แล้ว แต่มีบางสิ่ง...บางสิ่งเกี่ยวกับหญิงผู้นี้ ที่ทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดอาการคลื่นไส้และอยากหนีไปให้พ้นๆ ด้วยความหวาดกลัว

อย่างแรกก็คือ...เธอดูไม่เหมือนมนุษย์เอาเสียเลย เธอดูคล้ายกับหุ่นจำลองชนิดที่พบได้ตามร้านเสื้อผ้าทั่วไปมากกว่า และที่น่าแปลกยิ่งไปกว่านั้น เธอสามารถใช้มือหยิบจับสิ่งของได้ ทั้งยังมีเลือดเนื้อเหมือนกับมนุษย์ทั่วไปทุกประการ ใบหน้าของเธอเรียบเฉยไร้อารมณ์เหมือนหุ่น ไม่มีคิ้ว และโปะเครื่องสำอางหนาเตอะ

มีซากลูกแมวตัวหนึ่งติดแน่นอยู่กับกรามของเธออย่างผิดธรรมชาติจนทำให้มองไม่เห็นฟันแม้แต่ซี่เดียว เลือดยังคงไหลอาบชุ่มเสื้อกาวน์และเจิ่งนองเต็มพื้น ทันใดนั้น หญิงสาวก็กระชากซากลูกแมวตัวนั้นออกมาจากปาก ขว้างมันออกไป แล้วล้มฟุบลงกับพื้น

ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามายังโรงพยาบาล จนถึงตอนที่เธอถูกพาไปทำความสะอาดร่างกาย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการให้ยาระงับประสาท หญิงสาวดูทั้งสงบ ไร้อารมณ์ และไร้การเคลื่อนไหว แพทย์ตัดสินใจว่าการควบคุมเธอไว้จนกว่าเธอจะได้สติและไม่แสดงอาการขัดขืนน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หญิงสาวไม่ตอบสนองใดๆทั้งสิ้น และเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ต่างรู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องจ้องมองดูเธอนานเกินกว่าไม่กี่วินาที

แต่ในวินาทีที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพยายามทำให้เธอเงียบนั่นเอง หญิงสาวก็ตอบโต้กลับด้วยเรี่ยวแรง
มหาศาล เจ้าหน้าที่สองนายถึงกับต้องช่วยกันกดร่างของเธอลงกับเตียง เมื่อเห็นว่าเธอกำลังพยายามลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าว่างเปล่าไร้อารมณ์เช่นเดิม

หญิงสาวค่อยๆหันไปมองแพทย์หนุ่มผู้หนึ่งด้วยดวงตาไร้อารมณ์ แล้วจึงทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด....เธอยิ้ม

เมื่อเธอทำเช่นนั้น แพทย์หญิงคนหนึ่งถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความสะพรึงกลัว ในปากของหญิงสาวนั้นไม่ใช่ฟันของมนุษย์ หากแต่เป็นเขี้ยวยาวอันแหลมคม ยาวเกินกว่าจะที่หญิงสาวจะสามารถปิดปากสนิทได้โดยไม่เจ็บตัว

แพทย์คนหนึ่งหันกลับไปมองเธออยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถามออกไป "แกเป็นตัวอะไรกันแน่?!"

หญิงสาวโน้มคอลงจนอยู่ในระดับไหล่เพื่อสังเกตท่าทางของชายหนุ่มผู้นั้น เธอยังคงฉีกยิ้มอยู่

ทุกอย่างหยุดนิ่งไปพักใหญ่ ได้ยินเพียงเสียงของฝ่ายรักษาความปลอดภัยที่ถูกเรียกตัวมากำลังเดินมาตามทางเดินเท่านั้น

ทันทีที่แพทย์หนุ่มได้ยินเสียงฝีเท้า หญิงสาวก็พุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว ฝังเขี้ยวของเธอลงในลำคอของชายหนุ่ม เจาะคอหอยเขาแล้วปล่อยให้เขาล้มลงกับพื้น พยายามไขว่คว้าหาอากาศขณะที่กำลังสำลักเลือดของตน

เธอยืนขึ้นแล้วโน้มตัวลงไปหาเขา ใบหน้าอยู่ใกล้กันจนน่ากลัว ขณะที่สัญญาณชีพเริ่มจางหายไปจากดวงตาของชายหนุ่ม

เธอโน้มตัวใกล้เข้าไปอีก แล้วกระซิบที่ข้างหูเขา

"ฉัน...คือ...พระเจ้า..."

แววตาของแพทย์หนุ่มเปี่ยมด้วยความหวาดกลัว ขณะที่เขามองหญิงสาวลุกขึ้น แล้วเดินออกไปทักทายเหล่าเจ้าหน้าที่รปภ. ภาพสุดท้ายที่เขาเห็น คงเป็นภาพของหญิงสาวที่กำลังดูดเลือดพวกเขา...ทีละคน

แพทย์หญิงที่รอดมาจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ได้ตั้งชื่อหญิงสาวผู้นี้ว่า "The Expressionless" (ไร้ความรู้สึก)

ไม่มีใครได้เห็นหญิงสาวผู้นั้นอีกเลย...

Courage The Cowardly Dog

ตอน The Great Fusilli เป็นตอนสุดท้ายของ Courage The Cowardly Dog ซีซั่น 1 และจบลงด้วยฉากที่ Courage บังคับร่างไร้วิญญาณของ Murial และ Eustace เหมือนกับกำลังบังคับหุ่นกระบอกเพื่อให้ชีวิตของพวกเขาดำเนินต่อไป ยิ่งคุณคิดถึงประเด็นนี้มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งรบกวนจิตใจมากขึ้นเท่านั้น ฉากนี้แสดงให้เห็นว่าหลังจากซีซั่น 1 ตอนอื่นๆ ที่เหลือเป็นแค่ความคิดของ Courage เท่านั้น สองสามีภรรยาได้เสียชีวิตไปแล้วจริงๆ แต่ Courage กลับพยายามหลอกตัวเองและหลอกเราทุกคนให้คิดว่าพวกเขายังคงมีชีวิตอยู่

Buried Alive Model

หรือที่รู้จักกันในชื่อ The Buryman Script เคยเป็นสไปรท์ที่พบได้ในฉากสุดท้ายของเนื้อเรื่องหอคอยโปเกม่อน ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยวิญญาณของคาระคาระในปัจจุบัน จากรหัสที่ถูกกำหนดให้กับตัวละคร กล่าวได้ว่าผู้สร้างตั้งใจให้ตัวละครดังกล่าวเป็นบอสของหอคอย โดยเมื่อขึ้นไปถึงชั้นสูงสุด บทสนทนาจะปรากฏขึ้นดังนี้

Buried Alive (BA) : นาย...อยู่ที่นี่
BA : ฉันถูกขัง...
BA : และฉันเหงา...
BA : เหงา...เหลือเกิน...
BA : มาเข้าร่วมกันฉันเถอะ...

เมื่อจบบทสนทนา ภาพจะตัดเข้าสู่ฉากต่อสู้ ภาพสไปรท์ของ Buried Alive ดูเหมือนกับซากศพมนุษย์ที่กำลังพยายามปีนขึ้นมาจากดิน มันถูกตั้งโปรแกรมให้มีมือขาวซีดสองข้าง เกงการ์ และมัค

น่าแปลกที่ไม่มีการตั้งโปรแกรมการแสดงผลของมันหลังจากที่ถูกกำจัดแล้ว

ดังนั้น เมื่อผู้เล่นเอาชนะมันได้ เกมจะค้างโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม ตอนจบของฉากดังกล่าวถูกเขียนขึ้นโดยโปรแกรมเมอร์นิรนามผู้หนึ่ง โดยในตอนจบนี้ ถ้าหากผู้เล่นแพ้ในการต่อสู้ ซากศพจะลุกขึ้นมา พร้อมกับกล่าวว่า "ในที่สุด...เนื้อสด!" ตามมาด้วยตัวอักษรที่อ่านไม่ออกเรียงติดกันเป็นพรืด

ซากศพนั้นจะเริ่มลากผู้เล่นลงหลุม และจะจบลงที่ข้อความ "Game Over" บนหน้าจอ อย่างไรก็ดี ภาพของซากศพที่ถูกฝังทั้งเป็นและตัวละครผู้เล่นยังคงปรากฏเป็นภาพพื้นหลังของฉากดังกล่าว

และที่น่าแปลกกว่านี้คือกระบวนการหลังจากจบฉากนี้ เมื่อผู้เล่นแพ้ ภาพซากศพดังกล่าวจะถูกบันทึกลงในหน่วยความจำของตลับ และเข้าไปแทนที่ภาพหน้าจอเริ่มต้นปกติ ดังนั้น เมื่อผู้เล่นเริ่มเล่นเกมอีกครั้ง จะพบกับภาพของร่างที่ถูกฝังทั้งเป็น และเพลงจากไฟล์ staticmesh.wav จะเริ่มบรรเลง

จุดประสงค์ของฉากนี้ไม่เหมือนกับตำนานเรื่องอื่น ๆ ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับ Lavender Town Syndrome และยังคงเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้

Nurse Joy

เคยนึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมจึงมีนางพยาบาลจอยอยู่เยอะเหลือเกินในเกมโปเกม่อน พวกเราทุกคน
ได้รับการบอกเล่ามาว่า เป็นเพราะเธอมีพี่น้องมากมาย

แต่ในความเป็นจริง เป็นไปได้หรือที่คนเราจะมีพี่น้องที่หน้าตาเหมือนกันขนาดนั้น...เราไม่มีทางรู้หรอก และพวกเธอก็ไม่อยากให้เรารู้เหตุผลที่แท้จริงเช่นกัน

มันเป็นเหตุผลที่ฟังดูเหลือเชื่อเกินกว่าจะเป็นจริง แต่ฉันรู้ ฉันเห็นความจริง และฉันจะมาเล่าให้พวกคุณฟัง

ทุกอย่างเริ่มขึ้นเมื่อคุณก้าวเข้าไปในโปเกม่อนเซ็นเตอร์...

คุณตรงดิ่งไปหาเธอ จดจำเธอได้จากผมสีชมพูสดใสอันเป็นเอกลักษณ์

คุณทักทายเธอ เสียงของเธอหวานใสถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีจุดเริ่มต้นที่สวยงามก็ตาม

คุณอาจจะคุยกับเธอ หรือไม่คุยก็ได้

เธอรับโปเกม่อนของคุณไป กลับหลังหัน ฟื้นฟูมันแล้วส่งพวกมันกลับคืน

นั่นคือกิจวัตรประจำวันของเธอ

เธอดูเมตตาและห่วงใยโปเกม่อนเหลือเกิน แต่นั่นเป็นแค่หน้ากากที่ปิดบังตัวตนอีกด้านของเธอเท่านั้น...

แต่ที่คุณไม่รู้ก็คือ เธอได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์สะกดรอยไว้กับโปเกบอลทั้ง 6 ลูกของคุณแล้ว เผื่อไว้ในกรณีที่คุณเผลอทำหลุด

ทำไมล่ะ? ทันทีที่คุณก้าวเข้าไปในเซ็นเตอร์ เธอรู้ว่าคุณ "สมบูรณ์แบบ" บุคลิกของคุณเหมาะกับงานนี้ แถมคุณยังเป็นเทรนเนอร์ได้เพียงไม่นาน ยิ่งรู้น้อยก็ยิ่งดี

อย่างไรก็ตาม เธอได้สะกดรอยตามคุณ ส่งสัญญาณเตือนพยาบาลจอยคนอื่นๆที่คุณอาจจะไปพบระหว่างทาง วิธีนั้นจะทำให้เมื่อคุณพบพยาบาลคนหนึ่ง...เอ่อ...พูดแค่ว่าพวกเขาจะสามารถ "ดูแล" คุณได้จะดีกว่า

ขณะเดียวกัน...ถ้าหากพยาบาลคนหนึ่งพบเทรนเนอร์ที่ต้องการ และเทรนเนอร์ผู้นั้นตัดสินใจนอนค้างคืนที่เซ็นเตอร์...เมื่อนั้น ความสนุกที่แท้จริงจะเริ่มขึ้น....

เธอจะพาคุณไปที่ห้องพัก ส่วนมากจะเป็นห้องด้านหลังเซ็นเตอร์นั่นล่ะ

"ให้ฉันนำโปเกม่อนของคุณไปพักอีกห้องได้ไหมคะ?"เธออาจจะถามแบบนี้ ตอบ "ไม่"... ปฏิเสธอย่างเดียวเท่านั้น เธอพยายามทำให้คุณโดดเดี่ยวไร้ทางสู้

"สัมภาระทุกอย่างของคุณจะอยู่ในตู้ใบนี้ ทุกอย่างจะได้ปลอดภัยระหว่างที่คุณพักผ่อนนะคะ" เธอบอกด้วยน้ำเสียงที่คุณคุ้นเคย แต่ไม่นานคุณจะเกลียดมัน พวกพยาบาลทำเช่นนี้เพื่อให้คุณจนตรอก แต่แน่นอนว่าคุณไว้ใจพวกเธอ และยอมให้เธอเอาสัมภาระของคุณไป

"ราตรีสวัสดิ์ พักผ่อนให้สบายนะคะ!" เธอพูด พยายามทำให้คุณสบายใจ แต่ถ้าหากสังเกตดีๆ จะพบว่านี่คือหน้ากากที่ปิดบังความตื่นเต้นของเธอไว้ต่างหาก

คุณรู้เหตุผลที่แท้จริงหรือยัง? ถ้าใช่ ก็จบแค่นี้ แต่ถ้าไม่...ขอให้อ่านต่อไป...

เวลาประมาณเที่ยงคืน ทุกอย่างจะเริ่มขึ้นเมื่อรอบกายมืดสนิท สรรพชีวิตหลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา (แต่แน่นอน ยกเว้นพยาบาลผู้น่ารักทว่าซาดิสม์ผู้นี้...)

ประตูห้องของคุณเปิดออกอย่างแผ่วเบา ไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่ารำคาญเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเธอฉลาดพอที่จะหยอดน้ำมันใส่บานพับประตู

เธอเข้ามาพร้อมกับเปลหาม(คุณก็รู้ แบบที่ใช้ขนย้ายคนไข้นั่นไง) ใบหน้าของเธอไม่ได้อ่อนหวานอีกต่อไปแล้ว กลับกลายเป็นชั่วร้ายเสียมากกว่า เธอมีความสุขกับงานนี้ ถึงกับรักมันเลยล่ะ อะดรีนาลีนเริ่มหลั่ง ดวงตาเรืองแสงสีแดงเจิดจ้าทำให้ดูราวกับว่าเธอถูกปีศาจเข้าสิงไปเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าคุณจะยังหลับสนิทอยู่ แต่พยาบาลผู้นี้ก็จะไม่ยอมเสี่ยงแต่อย่างใด เธอหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมา

ไม่...ไม่ใช่ยาพิษอย่างแน่นอน มันคือสารสกัดจากผงหลับต่างหาก ชนิดเข้มข้นเสียด้วย แค่ออนซ์เดียวก็ทำให้คุณหลับได้ถึง 2 ชั่วโมงแล้ว ส่วนในเข็มฉีดยานั้น มีสารสกัดบรรจุอยู่ 10 ออนซ์...

เธอต้องการเวลามากที่สุดเท่าที่จะหาได้

คุณถูกหามไปด้วยเปลนั่น พาเข้าห้องที่มีแต่พยาบาลเท่านั้นที่จะเข้าได้

ถ้าหากคุณบังเอิญเห็นสภาพภายในห้องขึ้นมา นี่คือสิ่งที่คุณเห็น :

อวัยวะหลายส่วนหลายรูปร่างอยู่ในขวดโหลต่างขนาด เป็นอวัยวะส่วนที่ไม่ได้เปลี่ยนรูปอย่างสมบูรณ์

มีแม้กระทั่งอัณฑะเสียด้วยซ้ำ...ใช่...เธอตัดมันออก ลากร่างของชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายมาวางใต้ใบมีด แล้วตัดมันทิ้ง เธอไม่กลัวเลือดแม้แต่น้อย ความจริงแล้ว เธอดูดเลือดเก็บไว้ในขวดโหล...คุณก็รู้...เก็บไว้ดื่มไง และใช้เป็นเลือดสำรองได้ด้วย

ส่วนต่อมาคือส่วนที่เธอชอบที่สุด...

จอยหยิบมีดขึ้นมา แล้วบรรจงจรดปลายมีดลงกรีดร่างคุณตั้งแต่ต้นคอจนถึงหน้าอก เธอทำงานนี้อย่างเบามือเพราะว่าเธอมีความสุขกับมัน และถ้าคุณบังเอิญตื่นขึ้นมา คุณก็จะได้สัมผัสกับความทรมานอย่างช้าๆ ตอนนี้ผมของจอยไม่ได้เรียบร้อยเหมือนเก่าแล้ว มันชุ่มไปด้วยเลือด ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นัยน์ตาเป็นสีแดงก่ำ เขี้ยวงอกยาวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ไม่...เธอไม่ใช่แวมไพร์

โอเค เธออาจจะเป็น แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น...

รอยยิ้มของจอยตอนนี้ดูก้ำกึ่งระหว่างตัวตลกกับปีศาจ เธอหยิบขวดโหลเซรุ่มที่มี DNA ชนิดพิเศษออกมา พูดให้ชัดคือ DNA ของจอยนั่นเอง แต่ก่อนที่จะทำอะไรกับมัน จอยหันมาควักเอาอวัยวะภายในของคุณออกจนหมด ยกเว้นสมองและหัวใจ เธอเย็บปิดแผลของคุณ แต่ความจริงแล้ว นั่นไม่จำเป็นเลย

เซรุ่มต้องสัมผัสกับสมองโดยตรงจึงจะใช้การได้ ดังนั้น จอยจึงหยิบเลื่อยขึ้นมา เลื่อยยุคโบราณทั่วไปนั่นล่ะ เธอเลื่อยกะโหลกคุณจนกระทั่งมองเห็นสมอง ก่อนจะจัดการหยดเซรุ่มลงไป ภายในเวลาไม่กี่นาที ร่างของคุณก็จะดูเหมือนจอยมากขึ้น สมองและหัวใจกลับมาทำงานอีกครั้ง ในขณะที่อวัยวะส่วนอื่น...อวัยวะของจอย เริ่มเติบโตขึ้นอีกครั้ง รอยกรีดทั้งหลายหายไป เหลือไว้แต่ผิวหนังที่สมบูรณ์แบบ

กระบวนการทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์ คุณตื่นขึ้นมาตอนเช้าของวันถัดมา ต้องการทำงานที่โปเกม่อนเซ็นเตอร์อย่างยิ่ง สาขาไหนก็ได้ทั้งนั้น นอกจากนี้ DNA ของจอยยังช่วยบังคับให้คุณต้องหาเทรนเนอร์มาทำหน้าที่เป็นพยาบาลคนต่อไปแน่นอน มันมาพร้อมกับความสามารถในการทำทุกอย่างที่คุณเพิ่งโดนมาไม่นาน

อีกเรื่องก็คือ...คุณจะคิดว่าคุณเกิดมาเหมือนกับพวกจอยคนอื่นทุกประการ

แต่ทำไมต้องลำบากขนาดนั้นด้วยล่ะ...ทำไมถึงไม่โคลนเอา อืม... ฉันเพิ่งรู้ไม่นานนี้เองว่าจอยคนแรกสุดต้องการครองโลกด้วยกองทัพจอยที่เต็มใจทำตามคำสั่งทุกประการ เพราะ DNA ของพวกเขาบังคับให้ต้องทำตามร่างต้นฉบับเสมอ แต่การโคลนนิ่งจะดึงดูดความสนใจคนอื่นมากเกินไป และเหตุผลที่ว่า "เพราะฉันมีพี่น้องมากมาย" ดูเหมือนว่าจะเป็นเหตุผลที่ดี

ตอนนี้คุณก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว และคุณก็คงสงสัยว่าฉันรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร... อืม ใครกันล่ะที่อยู่กับพยาบาลจอยตลอดเวลา ใครกันล่ะที่คอยช่วยเหลือเธอเสมอ... ฉันไง! ฮาปินัส ความจริงแล้วฉันถูกสั่งไม่ให้เล่าเรื่องพวกนี้ให้ใครฟัง ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นโปเกม่อนก็ตาม

ดังนั้น คำแนะนำของฉันคือ ทุกครั้งที่คุณเขาโปเกม่อนเซ็นเตอร์ คุณกำลังแบกรับความเสี่ยงของคุณเอง อันที่จริง พยาบาลจอยชอบออกล่าเหยื่อด้วยตนเอง ดังนั้น ขณะที่คุณกำลังนอนหลับตามลำพัง หรือแม้กระทั่งเพียงแค่พักผ่อน อย่าได้คิดว่าคุณปลอดภัยเป็นอันขาด ฉันได้ยินมาว่าใบหน้าอันน่าสะพรึงกลัวของเธอกำลังจับตามองคุณอยู่...

โอ้ ดูเหมือนว่าเธอเพิ่งจะได้เหยื่อรายใหม่มาพอดี...และฉันคิดว่านั่นคือคุณ...

Lighthouse

กลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั้นมีเกาะเล็กๆที่ไม่ปรากฏอยู่บนแผนที่ใดๆอยู่เกาะหนึ่ง ไม่มีเกาะอื่นที่มอง
เห็นเกาะนี้ได้ และก็ไม่สามารถแลเห็นแผ่นดินใดๆจากบนเกาะนี้ได้เช่นกัน บนเกาะนี้มีประภาคารซึ่งไม่เคยสว่าง ผุพังด้วยกาลเวลาและน้ำทะเล ข้างในนั้นไม่มีอะไร เว้นแต่เพียงบันไดวนที่นำไปสู่ด้านบน กับชั้นหนังสือโบราณฝุ่นเขรอะ

ชั้นหนังสือนั้นเต็มไปด้วยหนังสือไร้เครื่องหมายที่ห่อปกด้วยหนังโบราณ เว้นแต่เพียงช่องเดียวเท่านั้น หากคุณดึงหนังสือออกมาจากชั้น มันก็จะเปิดตัวเองบนมือคุณ แล้วถ้อยคำที่เขียนไว้ในนั้นก็จะกรีดร้องออกมาในอากาศ คุณต้องใช้กำลังปิดมันแล้วเก็บมันเข้าที่เดิม หาไม่แล้วสิ่งชั่วร้ายอันเป็นนิรันดรก็จะเป็นอิสระ แล้วคุณจะถูกบังคับให้แทนที่มัน ด้วยหน้ากระดาษ หมึก และปกหุ้มที่ทำจากเลือดและเนื้องหนังของคุณเอง

ทว่า หากคุณนำหนังสือที่ถูกต้องไปที่เกาะนั้นแล้วใส่มันเข้าไปในช่องที่เหลือ ประภาคารนั้นก็จะส่องแสงสว่าง ตราบใดที่แสงนั้นยังสว่างอยู่ โลกนี้ก็จะรื่นเริงด้วยแดนสวรรค์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ด้วยว่าความชั่วร้ายทั้งมวลนั้นถูกกักขังไว้ในประภาคารนั้น และตราบที่มันยังส่องแสงสว่างก็จะไม่มีสิ่งใดเข้าหรือออกไปได้

ปัญหาก็คือ คุณเองก็จะติดอยู่ที่นั่นไปตลอดกาลกับความชั่วร้ายทั้งหมดที่มนุษย์หรือทวยเทพเคยรู้จักหรือกระทำลงไป และทางเดียวที่จะออกไปได้ก็คือดับแสงนั่นซะ

The Tundra

ชนพื้นเมืองในแถบนี้เล่าขานกันว่าส่วนหนึ่งของทุ่งทุนดราทางตอนเหนือของที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของ
วิญญาณที่เป็นมิตร วิญญาณเหล่านี้จะมอบความรอบรู้และคำเตือนให้แก่ผู้ที่ไปเยือนมันในยามค่ำคืน เมื่อพระอาทิตย์ลับไปแล้วและความมืดมิดปกคลุมโลก ผมขับรถออกไปกลางทุ่งน้ำแข็งนั่นแล้วก็รอ ด้วยความหวังว่าจะได้เห็นอะไรก็ตามที่ทำให้คนเหล่านี้เคารพมัน พวกเขาส่งลูกๆของตนออกมาในคืนก่อนครบรอบวันเกิด15ปีเพื่อพบกับวิญญาณเหล่านี้ ห่มด้วยขนสัตว์หนาเพื่อไม่ให้แข็งไปซะก่อน เมื่อพวกเขาผ่านมันมาแล้ว เด็กๆก็จะวิ่งกลับบ้านไปหาพ่อแม่และบอกเล่าสิ่งที่รู้ จากนั้นเด็กคนนั้นก็จะนับเป็นผู้ใหญ่ในหมู่บ้านนั้น คู่รักจะไปเยือนทุ่งทุนดราในคืนก่อนแต่งงาน ทั้งหมู่บ้านจะเฝ้ารอพวกเขากลับมาตลอดคืน เพราะเมื่อพวกเขากลับมานั้นทั้งคู่ก็จะตัดสินใจได้ว่าจะแต่งงานกันหรือล้มเลิกเสีย พวกผู้เฒ่าจะไปยังทุ่งทุนดราเมื่อพวกเขาเจ็บป่วย และบ่อยครั้งที่อาการหนักขึ้นเพราะการอยู่ท่ามกลางอากาศเย็นตลอดคืน แต่เมื่อพวกเขากลับมานั้น มีบ่อยครั้งที่จะมีท่าทีสงบอย่างมาก

ด้วยเหตุนั้นผมจึงเฝ้ารอ ด้วยใคร่เห็นในปรากฏการณ์ที่อาจมีอิทธิพลต่อผู้คนอย่างใหญ่หลวง ผมเฝ้ารออยู่หลายชั่วโมง สวมเสื้อขนสัตว์กันหนาวนั่งรอบนกระโปรงรถกระบะของตัวเอง ผมรอจนกระทั่งรู้สึกเหมือนกำลังจะแข็งตายทั้งที่สวมชุดหนาขนาดนั้น

ผมได้ยินเสียงของวิญญาณก่อนจะเห็นตัวมัน เสียงบดหิมะท่ามกลางความเงียบงันนั้นทำให้ผมกระโจนลงจากรถแล้วหันกลับไป ชายผิวสีเทาหลังค่อมยืนห่างออกไปไม่กี่เมตร ดวงตาสีเหลืองเศร้าสร้อยนั้นมองผมกลับมาจากหัวกะโหลกที่มีผมมันๆขึ้นอยู่ไม่เท่าไหร่ เขาหอบหายใจอย่างหนักสั่นสะเทือนซี่โครงอันบอบบางนั่น และแขนข้างหนึ่งก็ดูเหมือนมันจะแตกละเอียดแล้วก็ไม่ได้รับการดูแล ปล่อยให้มันต่อกันเองอย่างผิดรูป ขาที่กางออกนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลร้ายแรง ชายคนนั้นมองผมอยู่ราวสิบวินาทีได้ หายใจเอาอากาศเย็นเข้าไป แล้วหายใจออกเป็นไอชื้นน่าขนลุก ก่อนจะหายตัวไปเมื่อผมกะพริบตา

ผมมองหาเขาไปรอบๆ แต่เขาหายไปแล้วจริงๆ เมื่อไปที่ที่เขาเคยยืนอยู่ ผมพบรอยเท้าเปื้อนเลือดคู่หนึ่งบนผืนหิมะ ด้วยความคุ้มคลั่งเพราะหวาดกลัว ผมขึ้นรถแล้วกลับไปหมู่บ้านอย่างเร็วที่สุดเท่าที่หิมะอำนวย ชาวบ้านสองสามคนรอผมอยู่ตอนที่ผมไปถึง รู้ว่าผมไปไหนมาและอย่างรูในสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น ผมรีบลงจากรถลงไปหาชาวบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุด "ไอ้วิญญาณพวกนี้มันเป็นมิตรยังไง? อะไรที่มันรอบรู้นัก? พวกมันช่วยพวกคุณยังไง?"

"คุณเห็นอะไรเหรอ?" เขาถาม สีหน้าของเขาตอนนี้สะท้อนความกลัวของผมราวกับกระจก "ผมเห็นผู้ชายที่พิการอย่างน่ากลัวแล้วก็ป่วยหนักด้วย!" ผมตะโกนใส่หน้าเขา แล้วชาวบ้านที่อยู่รอบๆก็ถอยออกไปห้าวหนึ่ง "ทำไม? นั่นหมายถึงอะไรกันแน่?" ผมขอร้องเขา "วิญญาณพวกนี้บอกอยู่เรื่องเดียว" ชายคนนั้นอธิบาย "พวกเขาให้เห็นตัวผู้ไปเยือนเอง หนึ่งปีในอนาคต"

Abandoned by Disney

ใกล้เมืองติดชายหาดของเกาะใน North Carolina ดิสนีย์ได้ก่อสร้าง พระราชวัง Mowgli ช่วงปลายปี 1990
ซึ่งมีแนวคิดที่จะสร้างเป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่
หากคุณไม่คุ้นเคยกับ Mowgli มันเป็นตัวละครจากหนังสือเรื่อง "The Jungle Book" ซึ่งเป็นการ์ตูนดิสนีย์ในทศวรรษที่ผ่านมา
Mowgli เป็นเด็กที่ถูกทิ้งในป่า และถูกเลี้ยงดูโดยสัตว์ป่า

มีเสียงคัดค้านการสร้าง พระราชวัง Mowgli ทันทีที่เริ่มสร้าง เพราะดิสนีย์ได้ซื้อที่ดินราคาสูงนี้จากรัฐบาล ถึงแม้ว่าที่ดินนั้นจะมีผู้คนอาศัยอยู่ แต่รัฐบาลก็ได้อ้างสิทธิในการถือครองที่ดินนั้น
ชาวบ้านคนหนึ่งได้พยายามบุกและขัดขวางดิสนีย์แต่ก็ถูกขัดขวางอย่างรวดเร็ว และดิสนีย์ได้ทำการล้างพื้นที่ดินนั้นทั้งหมด ทำลายบ้านเรือนและทุกสิ่งทุกอย่าง
จนกระทั่งการก่อสร้างเสร็จสิ้น มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา ทำให้พื้นที่โดยรอบท่วมท้นไปด้วยรถของนักท่องเที่ยว…การจราจรติดขัด ซึ่งสร้าความไม่พอใจให้กับผู้คนโดยรอบ

จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จบลง

ดิสนีย์ได้ปิดที่นั่น โดยไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่พวกชาวบ้านก็พอใจกับการกระทำนี้
เกิดอะไรขึ้น?
ผมได้อ่านบทความจากคนที่เคยไปสำรวจมัน พบว่าที่นั่นถูกทำลายโดยบางอย่าง มันอาจเป็นฝีมือของพนักงานที่ไม่พอใจการปิดกิจการของดิสนีย์ หรืออาจมีชาวบ้านมาทุบทำลายที่นี่ก็ได้
หลังจากที่ผมได้อ่านบทความนั้น ผมได้มีความคิดที่จะไปยังที่นั่นเพื่อถ่ายภาพ และเขียนบทความลงบล็อคของผมบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ว่ากลับไม่มีข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นเลย แม้ผมพยายามหาใน Google ก็ตามแต่เว็บไซต์ต่างๆที่พูดถึงเรื่องนั้นมันกลับเชื่อมต่อไม่ได้
ดังนั้นเมื่อหมดหนทางผมจึงต้องไปค้นหาแผนที่เก่าๆ ซึ่งผมก็หาเจอได้ในไม่นานมันเป็นแผนที่ของพระราชวัง Mowgli ในสมัยก่อน

ผมขับรถไปที่บาฮามาสเพื่อที่จะหาข้อมูลมาเขียนบล็อคลงอินเตอร์เน็ต

เมื่อผมไปถึงที่นั่นสิ่งแรกที่สะดุดตาผมเป็นอยากแรกคือพวกชาวบ้านอยู่ไหน? พวกเขาหายไปไหน? หลังจากที่พระราชวัง Mowgli ปิดตัวลง ผมคิดว่าชาวบ้านอาจย้ายออกไปหมดแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ดีที่สุด
ประตูทางเข้ามันเป็นอย่างที่ผมคิดไว้ มันเป็นประตูไม้ผุที่สึกกร่อนตามกาลเวลา มีรอยถูกทุบทำลายและรอยกัดจากพวกแมลง บนประตูมีแผ่นโลหะที่เขียนตัวอักษรด้วยลายมือว่า

"ABANDONED BY DISNEY"

เห็นได้ชัดว่ามันต้องมีใครมาเล่นพิเรนที่นี่แน่ๆ
ปราสาทมีรูปแบบเป็นปราสาทอินเดียขนาดใหญ่ ทางเข้ามันไม่กว้างพอที่ผมจะนำรถเข้าไปได้ ผมจึงคว้ากล้องดิจิตอล กับ แผนที่เข้าไปตามลำพัง ภายในอาคารค่อนข้างโล่ง มีเสียงหนูวิ่งกันไปมาตลอด ดูเหมือนว่าฟอนิเจอร์บางชิ้นถูกขนออกไป เหลือแต่เพียงสิ่งของใหญ่ๆ เช่น ต้นไม้ปลอมขนาดใหญ่
ผมพยายามเดินสำรวจทุกๆที่อย่างละเอียด ภายในห้องครัว มีกลิ่นอับของฉี่ซึ่งอาจเป็นฉี่ของพวกหนู ประตูหลุดออกจากบานพับอย่างน่าสยดสยอง ตู้โลหะมีรอยถูกกระแทกจนบุบ และมีตูเย็นขนาดใหญ่
ผมเอื้อมมือไปเปิดตู้เย็นออกดู ข้างในมันว่างเปล่ามีเพียงตะขอสำหรับแขวนเนื้อสัตว์กำลังแกว่งไปมาอยู่ ผมพยายามใช้มือจับให้มันหยุดแกว่ง แต่ทว่าเมื่อผมปล่อยมือออกมันกลับแกว่งไปมาเหมือนเดิม
"อะไรวะเนี้ย" ผมอุทานขึ้นเบาๆก่อนที่จะเดินต่อไปที่ห้องน้ำ
ในห้องน้ำมีแอ่งน้ำขังที่ส่งกลิ่นเหมือนบนพื้น กระจกในห้องน้ำบ้างก็แตกบ้างก็มีรอยร้าว ที่น่าแปลกก็คือเขาควรจะตัดการจ่ายน้ำให้กับที่นี่ตั้งนานแล้ว แต่ทว่าอ่างน้ำกลับมียังน้ำรั่วออกมาอยู่ ผมอยู่ในห้องน้ำนั่นได้ไม่นาน เพราะบรรยากาศมันชวนอ้วกสุดๆ

ผมพยายามจะเดินสำรวจห้องทุกห้อง มีห้องที่เหมือนว่าจะเป็นห้องพักอยู่หลายห้อง ผมจึงจำเป็นต้องสำรวจเฉพาะห้องที่น่าสนใจ มีห้องหนึ่งที่ทำให้รู้สึกหลอนอยู่ไม่น้อย ในห้องนั้นเมื่อผมก้าวเข้าไปผมได้ยินเหมือนกับเสียงกระซิบของคนสองคน ผมอาจหูแว่วไปเองก็ได้ แต่เสียงนั่นมันฟังเหมือนบทสนทนาว่า....

A: ผมไม่เชื่อ
B: (คำพูดสั้นๆที่ผมฟังไม่ออก)
A: ผมไม่รู้ ผมไม่รู้
B: พ่อของคุณบอกคุณ
A: (เสียงเหมือนเสียงร้องไห้)

มันอาจฟังดูไร้สาระ แต่อาจมีคนซ่อนตัวอยู่ที่นั่นก็ได้

ผมเดินออกไปจากห้องนั้น และได้สังเกตุเห็นสิ่งที่น่าสนใจ รูปปั้นงูสีดำขนาดใหญ่ สูงประมาณ 18 ฟุตตั้งอยู่ตรงหน้าผมที่หน้าประตูพระราชวังเมาคลี มันมาตั้งอยู่ตรงนี้ได้ยังไง? ผมรู้สึกเอะใจแต่ก็ยังยกกล้องดิจิตอลขึ้นมาเพื่อถ่ายรูปมัน ผมกดถ่ายรุปมันหลายๆครั้งผมเดินเข้าไปเรื่อยๆเพื่อเพิ่มความคมชัดให้กับภาพ
ทันใดนั้น
หัวของมันค่อยๆขยับพร้อมกับดวงตาของมันค่อยๆเปิดออก สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นรูปปั้นงูขนาดใหญ่ยักษ์ มันกลับเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ มันรีบเลื้อยเข้าไปในป่าใกล้ๆเหลือเพียงแค่หางที่โผล่ออกมา ด้วยความตกใจสุดขีดผมรีบวิ่งกลับเข้าไปในปราสาท
ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ดิสนีย์ทำบ้าอะไรที่นี่ ไอข้างนอกนั่นมันตัวบ้าอะไรกันแน่? หัวใจผมเต้นรัว พร้อมกับเสียงหายใจหอบ แฮกๆ ด้วยความตกอกตกใจ ผมพยายามมองหาพื้นดีๆเพื่อที่จะนั่งพัก แต่บนพื้นที่สกปรกขนาดนั้นผมไม่สามารถทนนั่งอยู่ได้
ผมเหลือบไปเห็นบันไดในซอกเล็กๆ มันเป็นบันไดลงสู่ชั้นใต้ดิน แม้ว่ามันจะมีฝุ่นเกาะอยู่มาก แต่ผมก็หยิบป้านเหล็กที่ติดอยู่บนผนังข้างๆมารองนั่ง สิ่งที่เขียนอยู่บนป้ายเหล็กแผ่นนั้นคือ

"ABANDONED BY DISNEY"

เอ่อ...บางทีมันอาจเป็นการก่อกวนเล็กๆน้อยๆของชาวบ้านที่เคียดแค้นดิสนีย์

เมื่อผมหายเหนื่อย ผมใช้แสงแฟลชจากกล้องส่งไปยังชั้นใต้ดินที่มืดสนิท ซึ่งมันมีประตูตะแกรงเหล็กขึ้นสนิมขวางอยู่ บนประตูเหล็กนั่นมีป้ายเขียนไว้ว่า

"MASCOTS ONLY! THANK YOU!"

มันเป็นห้องเปลี่ยนชุดของพวกพนักงานที่แต่งเป็นตัวการ์ตูนสินะผมคิดในใจ
ผมใช้เวลาไม่กี่อึดใจในการพังประตุเข้าไป ด้วยความเก่าของประตูทำให้มันไม่ยากเลยที่จะทำลายมัน ชั้นใต้ดินเป็นห้องขนาดใหญ่ บนพื้นมีข้าวของกระจัดกระจาย กระดาษเอกสารที่เหมือนจะละลายติดกับพื้น บนโต๊ะมีแก้วน้ำวางอยู่ ทางเดินคดเคี้ยวดุสับสนเหมือนเขาวงกต
หลังจากที่ผมใช้เวลาอยู่นานเดินวกวงอยู่ในชั้นใต้ดิน ผมก็เจอกับประตูสีดำมีลายเส้นสีเหลืองๆ บนบานประตูมีคำว่า "CHARACTER PREP 1" เขียนอยู่ ผมพยายามจะเปิดประตูออกดูแต่ก็ไม่สำเร็จ ประตูถูกล็อคจากนั้นใน ผมจึงตัดใจและเตรียมที่จะเดินออกไปจากที่นี่

แอ้ด~ เสียงบานประตูถูกเปิดอยู่น่าขนลุกได้ดังขึ้น
"อะไรวะเนี้ย" ผมบ่นเบาๆ พร้อมกับเดินเข้าไปในห้องนั้น ผมใช้แสงแฟลชส่องเข้าไปในห้องนั้น มันเป็นห้องที่เก็บชุดของตัวละครคอสตูมต่างๆ เช่น โดนัล ดั้ก ถูกแขวนอยู่มากมาย สิ่งที่สะดุดตาผมคือชุดมิกกี้เมาส์ที่นอนเหมือนศพคนตายอยู่กลางห้อง สีของมันไม่เหมือนมิกกี้ที่เรารู้จัก ส่วนที่เป็นสีดำกลายเป็นสีขาว ส่วนที่ควรเป็นสาวขาวอย่างถุงมือกลายเป็นสีดำ กางเกงที่เป็นสีแดงกลายเป็นสีฟ้า แลดูน่าขนลุก
ผมเดินข้ามชุดมิกกี้เข้าไปหยิบหัวของโดนัล ดั้ก ขึ้นมาดู

"เพล้ง"

เสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างหล่นลงแตกข้างล่าง ผมก้มลงดูที่เท้าของผม

"เชี้ยไรวะ" หัวกะโหลก กะโหลกของมนุษย์ หล่นลงมาจากหัวของชุดคอสตูม!!! ผมไม่รู้ว่าเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นที่นี่ สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวผมคือมันถึงเวลาที่ผมจะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว แต่ก็ว่าผมก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างทางด้านหลังผม ผมหันหลังไปพบกับ...

ไอชุดมิกกี้ตัวนั้น! ตัวที่มีโทนสีสลับกับของจริง ไอชุดคอสตูมบ้าๆตัวนั้น มันค่อยลุกขึ้น ไม่สิ มันเหมือนกำลังมีบางอย่างใส่มันอยู่! ไอเวรเอ้ย มันต้องมีคนใส่ชุดมิกกี้ตัวนั้นอยู่
“เฮ้…นายอยากเห็นอะไรดีๆมั้ย?” เสียง! เสียงแหลมๆของมันทำผมประสาท มันลุกขึ้นพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มของมิกกี้เมาส์ พูดพร้อมโบกมือมากับผม ผมชาไปทั้งตัวด้วยความกลัวแบบสุดขีด ไอบ้านั่นมันค่อยๆใช้มือถอดหัวของมันออกมา
เสียง ครอก แครก ของผ้าและเนื้อที่ค่อยๆหลุดออกมาจากบ่าของมัน ทันทีที่หัวหลุดออกมา มีเลือดออก! เลือดออกมาจากคอที่ไร้หัวของผู้สวมชุดมิกกี้! ใช่แล้ว บ้าจริง!หัวของมันขาดออกมาเลย มีเลือดสีเหลืองไหลออกมา เลือดเหนียวหนืดไหลออกมาจากคอของมัน
ผมวิ่งหนี วิ่งและวิ่ง ผมควรวิ่งตั้งนานแล้ว วิ่งออกไป วิ่งฝ่าเขาวงกตออกไปจนถึงหน้าประตูของพระราชวัง สิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นคือป้ายที่เขียนว่า
"ABANDONED BY GOD"
ใช่ผมเข้าใจประโยคพวกนั้นแล้ว ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาทิ้งที่นี่ให้รกร้าง และผมจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก
ผมไม่เคยเขียนบล็อคเกี่ยวกับเรื่องนี้
ผมไม่เคยกลับไปดูภาพที่ผมถ่าย

The Grinning Man

ผมมีเรื่องมาเล่าเช่นเคย แต่ขอให้คุณอย่าอ่านมัน มันอาจฟังดูโง่ๆ แต่เมื่อคุณอ่านมันคุณก็จะเข้าใจสิ่งที่
ผมบอก มันสายเกินไปแล้วสำหรับผม ผมไม่อาจจะผ่านพ้นมันไปได้ ผมอยากจะเริ่มต้นใหม่…

ผมมีเพื่อนเก่า โจผมรู้จักกับเขาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ตอนนี้ผมอายุยี่สิบปี เขาเป็นเพื่อนของผมมานานมากแล้ว ในตอนนั้นมันดูธรรมดาสำหรับผม

มันอาจดูแปลกๆและน่าทึ่ง

สิ่งที่เขาทำ…

ในคืนวันศุกร์ที่ 23 มกราคม

ผมขับรถไปที่อพาร์ตเมนต์ของเขา เรามีแผนที่จะไปบาร์กัน มันเป็นเรื่องสนุกในวันสุดสัปดาห์ ในระหว่างที่ผมกำลังขับรถ ผมมองเห็นรถพยาบาลและรถตำรวจจำนวนมากบนท้องถนน เช่นเดียวกับคนอื่นๆผมสนใจว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ผมจ้องมองศพที่ถูกผ้าคลุมสีขาวคลุมไว้และล้อมรอบด้วยกระจก ตั้งอยู่ห่างรถที่มีรอยบุบไม่กี่ฟุต

ผมคิดว่าบนท้องถนนใกล้ๆกับอพาร์ตเมนต์ของโจได้เกิดการขับรถชนคนตายขึ้น ว่าโจคงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ผมเดินไปที่ห้องของบนชั้นสาม และมองเห้นตำรวจและนักข่าวมากมายกำลังถ่ายทอดสดข่าวหรืออะไรบางอย่าง

“มันเกิดอะไรขึ้น?” ผมเดินไปถามตำรวจนายหนึ่งในบริเวณนั้น เขาบอกว่าโจได้ฆ่าเพื่อนร่วมห้องด้วยมีดทำครัวและหนีไปทางหน้าต่าง โดยร่างของเขาตกลงที่ถนนด้านล่าง

ผมตกใจมาก โจไม่เคยทำอะไรแบบนั้น ผมขับรถกลับบ้านเงียบๆ ผมรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภรรยาของผมถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งผมก็อธิบายให้เธอฟัง

เธอตกใจเช่นเดียวกับผม และไม่รู้ว่าทำไมโจถึงทำแบบนั้น ผมบอกเธอว่าผมขอเวลาอยู่คนเดียวแล้วเดินไปที่ห้องนอน ผมไปที่คอมพิวเตอร์และเช็คอีเมลของโจดู

ผมรู้รหัส ไอดี อีเมลของโจ ผมคิดว่าบางที่เขาอาจมีเพื่อนทางอินเตอร์เน็ตที่สมควรได้รู้ถึงเรื่องนี้

ผมไม่รู้ว่าคุณจะทำแบบที่ผมทำหรือเปล่า

ผมเปิดดูกล่องจดหมายของเขา โจ ผม และ เพื่อนอีกหลายคนติดต่อการทางอินเตอร์เน็ต และผมพึ่งจะตอบรับคำขอเป็นเพื่อนจากคนหลายคนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา อีเมลส่วนใหญ่ที่ส่งมาถึงเขาเป็นอีเมลขยะที่ไม่มีเนื้อหาสำคัญโดยมีไฟล์บางอย่างแนบมาด้วย

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมจึงเปิดมันขึ้นมาดู ชื่อของมันเป็นตัวเลขแบบมั่วๆ มันเป็นภาพผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง แต่ว่าในไม่นานผมได้พบว่าภาพนั่นเกิดรอยยิ้มที่น่ากลัว พร้อมกับสายตาที่น่าขนลุก ผมรู้สึกกลัวจึงได้พยายามหันไปมองอย่างอื่นในอีเมล

a single word. A word I can't repeat. Not yet. I need to tell my story. มันเป็นชื่ออีเมลที่ผมบังเอิญเปิดเข้าไปอ่านนั่น ผมไม่อาจทนมองภาพที่น่าขนหัวลุกนั่นได้อีกต่อไป ผมปิดมัน ในขณะที่ผมออกจากระบบอีเมลของโจ ผมสังเกตเห็นเวลาที่อีเมลบ้าๆนั่นส่งมาถึงเขา วันที่ 23 มกราคม 05:35 เขาอาจดูอีเมลนั่นก็ที่จะเสียชีวิต

หลายวันต่อมาผมพยายามจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ผมไปร่วมงานศพของโจ ผมพยายามจะใช้ชีวิตเหมือนเดิมแต่…

ทุกครั้งที่ผมหลับตาลงมันเหมือนกับว่ากำลังมีคนมากมายกำลังจ้องมองผมอยู่ ผมเริ่มฝันร้ายมันทำให้ผมเครียด ในฝันผมจำได้ลางๆเกี่ยวกับคนที่มีใบหน้ายิ้มแย้มอันน่าสยดยอง ผมไม่สามารถนอนหลับอย่างสบายได้อีกเลยหลังจากวันนั้น ผมดิ้นรนในการทำงาน และเก็บกฏความเครียดเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ

ผมต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

มันยากมากที่จะรู้ว่าภาพรอยยิ้มนั่นมันคืออะไร ผมพยายามค้นหาเกี่ยวกับ "Grinning man" "haunted grinning man" หรือ "cursed grinning man" แต่กลับไม่เจออะไรดีๆเลย แต่ผมก็พยายามค้นหาต่อไป

ผมเจอบทความเกี่ยวกับอาถรรพณ์ของ "grinning man" บทความกล่าวว่า มันเป็นภาพจากแชร์ลูกโซ่ธรรมดาในไม่กี่ปีมานี้ แต่ดูเหมือนว่าภาพนั่นจะมีบางอย่างทำให้ผู้ที่ดูมันเห็นภาพหลอนและฝันร้าย

มันเป็นแค่เรื่องที่แต่งขึ้น เนื้อหาดูโง่ๆและยากที่จะเชื้อถือ แต่ถึงกระนั้นผมก็ได้ฝันร้ายเหมือนกับที่บทความนั้นกล่าว และไม่แน่ว่าโจอาจเห็นภาพหลอนเช่นกันหลังจากดูรูปภาพนั้นแล้ว เขาจึงก่อคดีฆาตรกรรม หรือว่า…

หลังจากนี้ผมจะเป็นแบบโจ? ผมจะเห็นภาพหลอนแล้วฆ่าภรรยาและคนรอบข้าง?

ผมเริ่มหวาดกลัว ถ้านมันเป้นเพียงอาการหวาดระแวงจนพาลไปให้ทำร้ายคนรอบข้างละก็ มันคงไม่เกิดขึ้นกับผมใช่ไหม ผมจะไม่ทำร้ายใครใช่ไหม ผมตัดสินใจที่จะเอาเรื่องนี้ออกไปจากหัว เพื่อที่จะใช้ชีวิตตามปรกติ

ไม่…

ผมยังคงฝันร้ายอย่างต่อเนื่อง แม้ผมจะใช้ยาระงับประสาทและยานอนหลับก็ตาม ผมไม่บอกเรื่องนี้กับภรรยาแต่ผมคิดว่าเธอสังเกตุเห็นความผิดปรกติของผม ยามันไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย ในคืนต่อมาผมเริ่มละเมอ ครั้งแรกผมตื่นมาพบว่าตัวเองนอนขดอยู่ในอ่างน้ำ สามวันต่อมาผมตื่นมาพร้อมกับมีด และ กองเลือดของสุนัขที่บ้าน

ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป แต่หลังจากที่ผมทำความสะอาดเลือดออกทั้งหมดจะสะอาด ผมพบกับศพของสุนัขสุดรัก ผมรับนำศพของมันไปซ่อนไว้ในถุงขยะ เมื่อภรรยาถามหามันผมตอบไปว่ามันเดินออกไปนอกบ้านและไม่ได้กลับมา ผมเก็บมีดไว้อย่างมิดชิด ภรรยารู้สึกว่ามีอะไรผิดปรกติขึ้นกับผมจึงเอ่ยถาม แต่ผมก็ไม่ได้บอกอะไรกับเธอไป

ผมเริ่มจดจำความฝันนั่นได้ ภายใต้รอยยิ้มอันน่าสยดสยองเหล่านั้น ตัวผมในความฝันได้ประหารคนในครอบครัวอย่างไร้เหตุผล ผมประหารพวกเขาด้วยวิธีที่น่าขนลุก มันเหมือนเป็นการแสดงเพื่อให้ผมได้เห็น เพื่อให้ผมทำแบบเขา ผมให้ผมมีรอยยิ้มที่น่าสยดสยอง…

ดังนั้นผมถึงเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังเพราะผมนั้นสิ้นหวัง ผมต้องการความช่วยเหลือ ผมไม่อยากจะคิดว่าผมจะทำร้ายภรรยาตัวเองได้อย่างไร ผมรักเธอมาก.. ผมไม่อยากที่จะ… ผมพยายามที่จะหลีกเลี่ยงมันแต่ความฝันผมมันเริ่มเสมือนจริงขึ้นไปทุกที ผมไม่รู้ว่าผมต้องทำยังไง… ผมไม่รู้

มันอาจดีกว่านี้ถ้าคุณเชื่อที่ผมเตือน…ผมขอโทษ…ผมหวังว่าคุณจะยกโทษให้ผม…ผมขอโทษ

The Girl in the Photograph

วันหนึ่งที่โรงเรียนเด็กชื่อทอมกำลังนั่งอยู่ในชั้นเรียนและคิดคณิตศาสตร์ มันเป็นเวลาหกนาทีก่อนเลิก
เรียน ขณะที่เขากำลังทำการบ้านของเขาสิ่งที่ติดตาของเขา
โต๊ะทำงานของเขาอยู่ถัดจากหน้าต่างและเขาหันมองไปสนามหญ้าด้านนอก มันดูเหมือนภาพวาด เมื่อโรงเรียนเลิก เขาวิ่งไปยังจุดที่เขาเห็นมัน เขาวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เเละเขาก็พบกับมัน (รูป)
เขาหยิบมัน (รูป) ขึ้นมาและยิ้ม มัน (รูป) มีภาพของหญิงสาวที่สวยที่สุดที่เขาเคยเห็น เธอมีชุดที่มีถุงน่องและรองเท้าสีแดงและมือของเธอที่ชูขึ้น 2 นิ้ว
เธอเป็นคนที่สวยมากเขาอยากจะพบเธอเขาจึงวิ่งไปทั่วโรงเรียนและขอให้ทุกคนถ้าพวกเขารู้จักเธอหรือเคยเห็นเธอมาก่อนหรือป่าว ? แต่ทุกคนเขาถามว่า "ไม่เคย" เขาได้รับความเสีย

เมื่อเขาอยู่บ้านเขาถามพี่สาวของเขาเพื่อเธออาจจะรู้จักผู้หญิงคนนั้น แต่โชคร้ายที่เธอยังกล่าวว่า "ไม่" มันก็ดึกมากดังนั้นทอมจึงเดินขึ้นบันไดวางภาพบนโต๊ะข้างเตียงของเขาและไปนอนหลับ
ในช่วงกลางของคืนทอมถูกปลุกให้ตื่นโดยที่ได้ยินเสียงเคาะเบาๆที่หน้าต่างของเขา มันเป็นเหมือนเล็บเคาะเบาๆ เขาได้รู้สึกกลัว หลังจากที่เคาะเขาได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก เขาเห็นเงาใกล้หน้าต่างของเขา
เขาจึงได้ลุกออกจากเตียงของเขาเดินไปที่หน้าต่างของเขาเพื่อเปิดหน้าต่างและหาที่มาของเสียงหัวเราะคิกคัก เมื่อถึงเสียงก็หายไป

ในวันถัดไป เขาถามเพื่อนบ้านของเขาถ้าพวกเขารู้ว่าเธอ ทุกคนกล่าวว่า "ขออภัยไม่เคย" เมื่อแม่ของเขากลับมาถึงบ้านเขาก็ถามเธอว่าเธอรู้รึเปล่า ? เธอบอกว่า "ไม่ใช่"
เขาเดินไปที่ห้องของเขาวางภาพบนโต๊ะทำงานของเขาและเผลอหลับไป
อีกครั้งหนึ่งที่เขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นโดยการเคาะ เขาถือภาพและตามหาหัวเราะคิกคัก เขาเดินข้ามถนน ทันใดนั้น เขาก็ถูกชนโดยรถยนต์ เขาตายพร้อมกับภาพในมือของเขา

คนขับได้ออกจากรถและพยายามที่จะช่วยเขา แต่มันก็สายเกินไป ทันใดนั้นเขา (คนขับ) เห็นภาพและหยิบมันขึ้นมา
เขา (คนขับ) เห็นหญิงสาวที่น่ารักชูนิ้วเป็น 3 นิ้วจากเดิม...

The Portraits

ในฤดูล่าสัตว์ มีนายพรานคนหนึ่งพึ่งกลับมาจากการล่าสัตว์ ในราตรีที่ท้องฟ้ามืดมัวนี้เขาไม่สามารถหา
ทางออกจากได้ เขาได้แต่เพียงมองหาที่ที่เหมาะสมสำหรับค้างคืนเพื่อรอให้ดวงอาทิตย์ขึ้น

เขาได้มองเห็นกระท่อมหลังเล็กๆในความมืดนั้น เขาไม่รีรอ รีบตรงไปที่กระท่อมหลังนั้นทันที มันเป็นกระท่อมที่ทำจากไม้เก่าๆ หลังคาถูกปูอย่างลวดๆประตูไม้ที่ใกล้พังเต็มทนแต่ก็คงจะอยู่ได้ซักคืน เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป เสียงเอี้ยดจากประตูดังขึ้นอย่างน่าขนลก เขาเพ่งผนังห้องที่ถูกประดับด้วยรูปภาพที่แปลกประหลาดหลายรูป

มันเหมือนเป็นรูปของสัตว์ประหลาด ที่กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาที่อาฆาตแค้น มันทำให้เขาขนลุก เขาวางสัมภาระทั้งหมดที่หอบมาด้วยลงบนพื้น และล้มตัวลงนอนหนุนกระเป๋าสะพาย เขาพยายามที่จะไม่จ้องมองภาพพวกนั้น แต่เหมือนกับว่า ภาพมันกำลังจ้องมองเขาซะเอง เขารีบข่มตานอนเพราะเกิดกลัวภาพพวกนั้นขึ้นมา

เช้าวันรุ่งขึ้นในกระท่อมผุๆพังๆหลังเดิม แสงแดดสอดส่องเข้ามาในหน้าต่างหลายบนของกระท่อมนั่นทำให้นายพรานหนุ่มงัวเงียตื่นขึ้นมา ทว่าหลังจากที่เขามองไปรอบๆในกระท่อมที่มีแสงแดดอ่อนๆส่องเข้ามานั้นมันทำให้เขาเกิดความกลัวมากกว่าภาพที่เขาเจอเมื่อคืน เมื่อภาพเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยหน้าต่าง….

The thing in the window

ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้เจอกับประสบการณ์อันน่าสยดสยองในบ้านของผมเอง มันอยู่นอก
หน้าต่างในห้องของผม มันเป็นเหมือนใบหน้าอันซีดเซียวของมนุษย์ถูกอัดก็อบปี้จนติดกับกระจกหน้าต่าง

ในตอนแรกผมคิดว่าเป็นการแกล้งเพื่อให้ผมตกใจเล่นๆด้วยตุ๊กตาสยองๆ ผมเดินออกไปหน้าบ้านด้วยความคิดที่ว่าจะเอาของเล่นพิเรนทร์นั่นออกไปให้พ้นๆหน้าต่าง แต่ทว่ามันกลับไม่มีอะไรที่ฝั่งตรงข้ามของหน้าต่างในห้องผม

คงมีใครเก็บไปแล้วสินะ ผมคิดในใจ

ผมเดินผิวปากกลับเข้าห้องนอนอย่างสบายใจ แต่ผมก็พบกับภาพที่ทำให้ผมหัวเสีย ไอ้ตุ๊กตาบ้านั่นมันกลับมาอยู่ที่เดิม

“มึงออกมานะ ไอ้ลูกหมา!” ผมโมโหมาก จึงวิ่งไปรอบบ้านแล้วตะโกนเสียงดังหนวกหู แต่สุดท้ายผมก็ไม่เจอใครเลย ผมอยู่อย่างอึดอัดกับใบหน้าที่แปะอยู่บนหน้าต่างในห้อง เหมือนมันจ้องมองมาที่ผมตลอดเวลา ยามที่ผมหันหลังให้มัน ราวกับว่าใบหน้าของมันขยับตามผมอย่างน่าขนลุก และเมื่อผมหันกลับไปมองมัน ใบหน้าของมันกลับหันไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว มันเป็นตัวอะไรกันแน่

ในที่สุดความอดทนของผมก็หมดลงในวันพฤหัสบดี ผมเปิดหน้าต่างเพื่อที่จะไปเผชิญกับมันตรงๆ ผมคิดว่าผมใจแข็งพอ แต่ว่าเมื่อผมเปิดหน้าต่างออกไปผิวหนังของมันนั้นคิดอยู่กับหน้าต่างอย่างแน่หนา เหลือแต่เพียงใบหน้าเปลือยๆไร้ผิวหนังจ้องมองผมอย่างไม่ละสายตา ใบหน้าเปลือยๆสีแดงของมันทำให้ผมถึงกับกรีดร้องออกมาลั่นบ้าน

รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนใบหน้าที่ไร้ผิวหนัง ขณะที่ผมปิดหน้าต่างลงอย่างแรงด้วยความกลัวและตกใจสุดขีด ผมเริ่มตั้งสติอีกครั้ง ลองมองเห็นมันยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆจนน้ำลายไหลย้อยติดหน้าต่าง ผมใช้กำปั้นของผมต่อยกระจกเพื่อไล่มันออกไป น่าแปลกที่กระจกกลับไม่มีแม้แต่รอยร้าวเลยทั้งที่ผมต่อยไปเต็มแรงแล้ว

มันยิ้มเยอะเย้ยผม รอยยิ้มเริ่มยาวจนเหมือนกับว่าจะผ่าใบหน้าของมันออกเป็นสองซีก ในปากของมันเต็มไปด้วยฟันสกปรกที่เรียงอย่างผิดรูป มันใช้มือสีดำทมิฬเริ่มทุบกระจกเลียนแบบผม แต่ทันใดที่มันทุบครั้งแรก เสียง ตุบ ของแรงกระแทกนั้นดังลั่นบ้านของผม และกระจกเกิดรอยร้าวอย่างรุนแรง มันยังคงทุบต่อไปเรื่อยๆ รอยร้าวลุกลามไปที่ผนังห้อง อย่างกับว่าบ้านของผมกำลังจะพังทลาย

เพล้ง………..

ผมตื่นมากลางดึกท่ามกลางความเงียบงัน ไม่มีอะไรอยู่ที่หน้าต่าง ไม่มีรอยร้าว ไม่มีอะไรทั้งนั้น ทันใดนั้นผมก็รูปสึกได้ว่ามีมืออันเย็นเยือกมาสัมผัสไหล่ขวาของผม ผมหันไปพบเจอกลับรอยยิ้มอันน่าขนลุกของ “มัน”

มันยังคงจ้องมองผมอยู่

Missing No.

อย่าคิดที่จะไปว่ายน้ำแถว ๆเกาะกุเร็น
อย่าแม้แต่จะคิด
ฉันรู้คุณคงไม่ฟังฉัน นี้เป็นเรื่องลึกลับที่อยู่ภายใต้ทะเลแห่งนี้ ถ้าสมมุติคุณเจอมันเข้าฉันจะกล่าวว่าจงอย่างไปเมืองชิองอีกเลย

คิดว่าที่ฉันเล่าป็นเรื่องตลกหรือไง...?

หาเก้าอี้มานั่งและจงนั่งฟังดีๆไม่ว่าอย่างไรจงฟังคำพูดของฉันเอาไว้

ฉันเป็นเพียงเป็นตัวเล็กๆที่มีความสุขที่สุดในโลก เพราะฉันเพิ่งได้เกมที่ใหม่ที่สุดในสมัยนั้นนั้นคือโปเกม่อนฉันได้รับ
โปเกม่อนภาคเรด ฉันตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ ๆที่กำลังจะเกิดขึ้นและลิซาด้อนของฉันชื่อว่า..เฟรม?ล่ะมั้ง?ใช่แล้วล่ะเฟรม เขาและรัตต้า,อิมเพริได้เดินทางร่วมกัน

จนกระทั้งฉันเดินทางไปสู่เกาะกุเร็น

ฉันต้องการที่จะฝึกเจ้าเฟรมสะนิดเพื่อที่จะให้อุดจุดอ่อนแอและทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น ฉัน...เสิร์ฟไปจับเกียราดอสในมุมนึงแถว ๆเกาะกุเร็น

เฮ้อ....
และ..มีกิลช์(Giltch)โผล่ออกมาจากหมอก

Missing No.

ฉันพยายามบินหนีให้เร็วที่สุดไม่ว่าเพราะอะไรก็ตาม ฉันกลัว..กลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ฉันตัดสินใจบินหนีไปเมืองชิอง เสียงเพลงสยองขวัญสั่นประสาทได้ดังขึ้น

ไม่นะ....

เมื่อฉันถึงเสียงเพลงหลาย ๆเสียงทำให้ใจฉันสั่นขึ้น
และ...เมื่อถึงท่อนกลางของเพลงฉันได้ยินเสียงกรีดร้อง ฉันรู้สึกทันทีว่านี้มันเป็นเสียงของการาการ่า
กล่องข้อความได้ปรากฏขึ้นมามันอ่านได้ว่า
"เธอหนีมาจากแม่"
รูปภาพปรากฏออกมา เลือดมากมายบนกระดูกมี สีดำลึกลับไหลออกมาจากกระโหลกของการาการ่า
กล่องข้อความได้กล่าวว่า-"หนูไม่อยากใส่กระโหลกแบบนี้หรอกนะ..แต่แม่ถูกการูร่าสังหาร....หนูควรจะเป็นแบบนี้..."
...
กล่องข้อความปรากฏขึ้นอีก "หนูรักแม่แต่ท่ามกลางกิลช Missing no. ได้โผล่ออกมารอบ ๆกระโหลด และร่วมตัวกันเป็นหนูเหมือนแม่...ที่ต้องตาย..."
รูปภาพของคาราคาร่าปรากฏขึ้นมาเลือดได้เต็มท่วมปาก มีความมืดมิดออกมาจากดวงตา

"แม่จ๋า!!!!!!!"
Save File Corrupted. Please turn off Power.
และทุกอย่างได้หายไป

จงอย่าทำเรื่องผิดพลาดแบบที่ฉันทำ...คุณอาจจะเจอยิ่งกว่าฉัน ฉันทำแบบนี้เพราะเจ้าMissing no. ไม่น่าว่าคุณอาจจะ...
ต้องสิ้นชีวิตลงแบฉันก็เป็นได้....

Dream

"พ่อคะ หนูฝันร้ายคะ"
ผมลุกขึ้นมาแล้วมองไปที่นาฬิกาดิิจิตอล ตีสาม "ลูกจะบอกพ่อมั้ยว่าเธอฝันว่าอะไร"
"ไม่คะ"
ความประหลาดของสถานการ์ณทำให้ผมตื่นตัวขึ้น ผมเกือบจะมองไม่เห็นลูกสาวผมในความมืด
"ทำไมล่ะลูก"
"ก็ในฝันของหนู พอหนูบอกฝันให้พ่อฟัง เจ้าตัวที่ใส่หนังแม่อยู่มันก็ลุกขึ้น"
ผมรู้สึกตัวชาไม่สามารถละสายตาออกจากเธอได้ ผ้าห่มของเมียผมก็เริ่มขยับ

Mother's Call


เด็กหญิงคนหนึ่งกำลังเล่นอยู่ในห้องนอนของตัวเอง เธอได้ยินเสียงเรียกของแม่จากห้องครัว เธอจึงวิ่งลงบันไดไปหาแม่ที่ห้องครัว

ระหว่างที่กำลังวิ่งไปหาแม่เธอที่ห้องครัวอยู่นั้นเอง ประตูของห้องใต้บันไดได้เปิดขึ้น มีมือมาดึงตัวเธอเข้าไปในนั้น นั้นคือแม่ของเธอเอง แม่ของเด็กก็กระซิบกับเด็กเบาๆว่า "อย่าไปที่ห้องครัวนะลูก แม่ก็ได้ยินเหมือนกัน"

Username 666

Username 666 (รู้จักกันในชื่อ sm666 ในเว็บ nico nico (เหมือน youtube ของคนญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นวีดีโอของ nana825763 ในวีดีโอแสดงให้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราค้นหาชื่อผู้ใช้ 666 ใน youtube แล้วกดรีเฟรซหลายๆครั้งเรื่องนี้ยังมีข่าวลือย่อยๆอีก อย่างเช่น username 666 นั้นจะมีไวรัสที่จะเปลี่ยนตัวอักษรทุกตัวเป็นเลขหกทั้งหมด และยังมีเว็บไซต์ปลอมที่ดัดแปลงจากผู้ใช้ nana825763 กับ username 666 ซึ่งไม่ใช่ตัวจริง บางอันก็เหมือนกับของจริง แต่บางอันก็อาจจะเป็นไวรัสก็ได้ ถ้าคุณอยากลองเสี่ยงก็ไม่เป็นไร แต่มันจะทำให้คอมของคุณเสียได้ ดังนั้นจงระวังให้ดี

เว็บไซต์ YouTube นั้นมีมานานมากแล้ว ย้อนกลับไปในปี 2006 เว็บนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก สิ่งที่คุณเห็นส่วนใหญ่ในเว็บก็มีแต่คนที่เอาคลิ

ปแมวมาลง แต่มีอยู่ Channel นึงที่อัปโหลดคลิปลามกแบบซาดิสม์ และคลิปเลือดสาดซึ่งผู้ใช้รายนี้ได้ถูก Youtube ลบออกไปแล้ว แต่ว่ามันยังสามารถเข้าถึงได้อยู่ วันหนึ่งมีคนใน Youtube ใด้อัปโหลดสิ่งที่เค้าเจอกับตัวกับ Channel ของ Youtube ที่โดนบล็อกไป Channel นึง
"ผมทำงานให้กับ Youtube ในปี่ 2006 ผมทำงานหนักมาก ผมก็ได้อัปโหลดวีดีโอจากที่นี่ มีสิ่งหนึ่งที่ผมยังไม่รู้ผู้ควบคุม Youtube ได้ทำการระงับการใช้งานผู้ใช้ Youtube คนนึง ผมถามพวกเค้าว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น แต่พวกเค้าก็ไม่ตอบผม"
ผมจึงสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่สามารถเข้าถึงหน้า Youtube นั้นได้ แต่ทันใดนั้นเองผู้จัดการ Youtube คนนึงได้ยื่นเศษกระดาษซึ่งมีบางอย่างเขียนไว้อยู่มาให้ผม มันเป็นลิงค์อะไรซักอย่าง เขาขออย่าให้ผมถามอะไรมากกว่านั้น ซึ่งมันเป็นลิงค์ของผู้ใช้ Youtube รายหนึ่ง มันชื่อว่า www.youtube.com/666 ผมกลับบ้านหลังจากทำงาน แล้วพิมลิงค์นั้นลงบนคอมพิวเตอร์ ซึ่งผมพบว่ามันถูกระงับการใช้งานแล้ว ผมจึงโล่งอก

แต่เมื่อผมกดรีเฟรซหน้านั้นซ้ำๆ มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป ชื่อของวีดีโอทุกอันเปลี่ยนเป็นตัวอักษร "X666" ทุกๆข้อความเปลี่ยนไปเป็น "666" ผมคิดว่าคงมีมือดีมาแฮ็คคอมพิวเตอร์ของผม แต่ผมก็ยังไม่เชื่อแล้วกดรีเฟรซหน้านั้นต่อไปทันใดนั้นเอง มี Chennel เด้งขึ้นมา มันเป็นช่อง Youtube 666 ผมคลิกดูวีดีโอในช่องนั้น ส่วนใหญ่เป็นคลิปที่ค่อนข้างรุนแรงและแปลก มีบางวีดีโอที่มีเด็กทารกสี่คนหมุนหัวของพวกเขา บางวีดีโอก็ฉายภาพวนไปวนมา
ผมตัดสินใจที่จะออกจากวีดีโอที่ดูอยู่แล้วไปดูวีดีโออื่น แต่ก็มีปุ่มเด้งขึ้นมา มันว่างเปล่า ผมคลิกที่ปุ่มนั้น มันพาผมไปยังวีดีโออีกอันของ 666
ในวีดีโอนั้นผมเห็นผู้หญิงจมลงไปในบ่อเลือดและสิ่งที่น่ารังเกียจก็เกิดขึ้น ผมคิดว่ามันน่าเกลียดเกินไปจึงกดหยุดวีดีโอไว้ แต่มันกดไม่ติด! ผมจึงตัดสินใจปิด
โปรแกรม Internet Explorer แต่มันก็ไม่ขยับไปไหน จากนั้นผมจึงลองคลิกไปที่วีดีโออื่นดู แต่มันก็ไม่ได้ผลเช่นกัน ผมคิดว่ามันไม่มีทางออกแล้วจนผมคิดได้ว่า....

ปุ่ม Shut down ยังไงละ! เมื่อคิดได้แล้วผมจึงไม่รีรอรีบกดปุ่ม Shut downคอมพิวเตอร์ของผมทำให้ไวรัสไม่สามารถเข้าเครื่องของผมได้ แต่ปุ่ม Shut down ก็ใช้การไม่ได้ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมโดนแฮ็คจนได้

สิ้นหวังแล้ว ผมออกจาก IE ไม่ได้ วีดีโอยังคงดำเนินต่อไป ไม่มีอะไรที่จะหยุดผมได้ ผู้หญิงในวีดีโอยังคงจ้องมองมาที่ผม พร้อมกับเสียงเพลงและทำนองประหลาดๆ ทันใดนั้น ผู้หญิงในวีดีโอก็ยื่นมือออกมาจากวีดีโอ แล้วทำให้ IE ของผมไม่สามารถใช้งานได้อีก
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ผมก็ได้ยื่นใบลาออกหลังจากหนีออกมาจาก Channel 666 กับประสบการณ์สยองที่ผมจะไม่มีวันลืม ผมคิดในใจว่า เรื่องพวกนี้เกิดจากสิ่งลี้ลับหรือไม่ หรือมันเป็นแค่มุกตลกของ Youtube เท่านั้น อย่างไรก็ตามความจริงก็ยังคงเป็นปริศนาทุกวันนี้ ผมนอนไม่หลับหลังจากดูวีดีโอเหล่านั้น ผมสงสัยว่าใครเป็นคนทำมันขึ้นมา

มีบล็อกเกอร์อยู่อันนึงได้ล่มลงสองวันหลังจากสร้างบล็อกเสร็จ เมื่อใครก็ตามที่เข้าไปยังบล็อกนั้น จะมีข้อความเด้งขึ้นมาพูดว่า "ถูกลบโดย Admin รหัส Error 666" เจ้าของบล็อกนั้นได้ส่งอีเมล์มาหาผม ขอให้ผมเผยแพร่ข้อความนี้

"อย่าไปลองกดรีเฟรซ USERNAME 666 เด็ดขาด เพราะถ้าคุณทำมันสำเร็จ มันจะไม่มีวันหยุด และคุณก็จะหนีออกจากมันไม่ได้อีกเลย"
ผมหวังว่าจะไม่มีใครลองทำมัน...

Tomino's Hell

“โทมิโนะ” หรือ “นรกของโทมิโนะ” เป็นตำนานเมืองญี่ปุ่น ที่เป็นบทกวี ที่ว่ากันว่าใครที่อ่านออกเสียงหรือท่องออกมาดังๆ ตั้งแต่ต้นจนจบจะรู้สึกเกิดอาการป่วยหรือทำร้ายตนเอง อุบัติเหตุ และที่เลวร้ายที่สุดคือตาย คลิปข้างล่างเป็นบทกวีที่ว่า (แต่เป็นโปรแกรมเสียงเพราะไม่มีใครกล้าที่อ่านออกเสียง) แม้ไม่ได้อ่านออกเสียง หรือฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออก แต่ความรู้สึกแล้วมันน่ากลัว จนไม่กล้าจะอ่านออกเสียงตามเลยก็ว่าได้ ที่มาของบทกวีนี้แต่งโดยโยโมตะ อินุฮิโกะที่แต่งเล่าเรื่องราวของโทมิโนะ ที่ตายเพราะโดดเดี่ยวและตกนรก นรกที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน และความโดดเดี่ยว (รายละเอียดแปลบทกวีดูที่ http://muzict.exteen.com/20121025/entry) มีข่าวลือจากคอมเม้นในยูทูปว่ามีชายคนหนึ่งอ่านออกเสียงบทกวีโทมิโนะ ปรากฏว่าเวลาต่อมาเขาอุบัติเหตุร้ายแรงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และนั้นทำให้เขาเชื่อว่าบทกวีโทมิโนะนั้นมีคำสาป

แปลบทกวี
トミノの地獄 tomino no jigoku

姉は血を吐く、妹(いもと)は火吐く、
ane wa chi wo haku, imoto wa hi haku,


可愛いトミノは宝玉(たま)を吐く。
kawaii tomino wa tama wo haku.

ひとり地獄に落ちゆくトミノ、
hitori jigoku ni ochiyuku tomino,

地獄くらやみ花も無き。
jigoku kurayami hana mo naki.

鞭(むち)で叩くはトミノの姉か、
muchi de tataku wa tomino no aneka,

鞭の朱総(しゅぶさ)が気にかかる。
muchi no shubusa ga ki ni kakaru.

叩けや叩きやれ叩かずとても、
tatake yatataki yare tataka zutotemo,

無間(むげん)地獄はひとつみち。
mugen jigoku wa hitotsu michi.

暗い地獄へ案内(あない)をたのむ、
kurai jigoku e anai wo tanomu,

金の羊に、鶯に。
kane no hitsu ni, uguisu ni.

皮の嚢(ふくろ)にやいくらほど入れよ、
kawa no fukuro ni yaikura hodoireyo,

無間地獄の旅支度。
mugen jigoku no tabishitaku.

春が来て候(そろ)林に谿(たに)に、
haru ga kitesoru hayashi ni tani ni,

暗い地獄谷七曲り。
kurai jigoku tanina namagari.

籠にや鶯、車にや羊、
kagoni yauguisu, kuruma ni yahitsuji,

可愛いトミノの眼にや涙。
kawaii tomino no me niya namida.

啼けよ、鶯、林の雨に
nakeyo, uguisu, hayashi no ame ni

妹恋しと声かぎり。
imouto koishi to koe ga giri.

啼けば反響(こだま)が地獄にひびき、
nakeba kodama ga jigoku ni hibiki,

狐牡丹の花がさく。
kitsunebotan no hana ga saku.

地獄七山七谿めぐる、
jigoku nanayama nanatani meguru,

可愛いトミノのひとり旅。
kawaii tomino no hitoritabi.

地獄ござらばもて来てたもれ、
jigoku gozarabamo de kitetamore,

針の御山(おやま)の留針(とめばり)を。
hari no oyama no tomebari wo.

赤い留針だてにはささぬ、
akai tomehari date niwa sasanu,

可愛いトミノのめじるしに。
kawaii tomino no mejirushini.

"พี่สาวสำรอกเป็นเลือด น้องสาวสำรอกเป็นไฟ
โทมิโนะผู้น่ารักสำรอกเป็นเพชรเลอค่า
โทมิโนะตายอย่างโดดเดี่ยวและตกนรกหมกไหม้
นรก, มืดมิด, ไร้ดอกไม้
นั่นใช่พี่สาวของโทมิโนะหรือเปล่าที่กำลังถูกเฆี่ยนโบย
รอยแผลที่ถูกเฆี่ยนช่างมากมายจนน่ากลัว
เฆี่ยนตีอย่างไม่หยุดยั้ง
เส้นทางไปสู่นรกอันไร้ที่สิ้นสุดมีเพียงทางเดียว
ไถ่ถามเพื่อหาหนทางสู่ความมืดมิดของนรก
จากแกะทองคำและนกไนติงเกล
ในกระเป๋าหนังใบนี้เหลืออยู่เท่าไหร่นะ
เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุดสู่นรก
ใบไม้ผลิมาเยือน อยู่ในป่าลึกและหุบเขา
ทางโค้งเจ็ดทางในหุบเหวมืดมิดแห่งนรก
นกไนติงเกลอยู่ในกรง แกะอยู่บนเกวียณลาก
ในดวงตาสดใสของโทมิโนะคือน้ำตา
ร้องออกมาเถอะ นกไนติงเกล เพื่อป่าไม้และสายฝน
ส่งเสียงออกไปเพื่อน้องสาวอันเป็นที่รัก
เสียงร่ำไห้ของเธอสะท้อนผ่านขุมนรก
และดอกไม้สีเลือดก็บานออกมาจากภูเขาทั้งเจ็ดและขุมนรก
โทมิโนะผู้น่ารักเดินทางตัวคนเดียว
เพื่อต้อนรับเธอสู่นรกแห่งนี้
แสงสลัวจากหนามแหลมคมของภูเขาสูงชัน
ทิ่มแทงจากผิวเนื้อสู่ผิวเนื้อ
ราวกับตัวโทมิโนะ"